ทันทีที่ข่าวนายแบงค์รวงข้าว, บัณฑูร ล่ำซำ ควักกระเป๋าซื้อโรงแรมไม้สักเก่าแก่ของเมืองน่านในราคากว่า 20 ล้านและเงินลงทุนปรับปรุงอีกกว่า 50 ล้าน และตั้งบริษัทเครือพูคากรุ๊ปเพื่อดำเนินธุรกิจเชิงวัฒนธรรมในเมืองน่าน กระแสหลั่งไหลของเงินตราเข้าเมืองน่านผ่านการซื้อขายที่ดินเริ่มร้อนระอุ
พ่ออุ้ยแม่อุ้ย ลุงน้อย ลุงหนานทั้งหลายต่างรับทรัพย์กันถ้วนหน้าเพื่อเปลี่ยนสิทธิ์ครอบครองที่ดินไปเป็นเจ้าของสิทธิ์รายใหม่ต่างล้วนแล้วมาจากถิ่นอื่นทั้งสิ้น
แต่กระแสการเข้ามาซื่อที่ดินในเมืองน่านนั้นไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกในปีสองปีนี้ หากแต่เกิดขึ้นตั้งแต่การเข้ามาของกล้ายางในเมืองน่านเมื่อ 7-8 ปีก่อนหน้านี้แล้ว
น่านเมืองสงบกำลังจะเปลี่ยนไป... นี่เป็นถ้อยคำที่อยู่ในใจของคนที่เป็นห่วงน่าน
สังคมที่เงียบสงบกำลังคึกคักด้วยแสงสีและเสียงอึกกระทึกครึกโครม
ผู้เขียนได้ไปนอนแถวป้อมตำรวจฟ้าใหม่เมื่อสองวันที่ผ่านมานี้ต้องนอนทนฟังเสียงเพลงจากร้านขายเหล้า ปนเสียงวัยรุ่นวีดว้ายกันยกใหญ่
สิ่งที่น่ากลัวกำลังเป็นไปแล้ว
เมื่อก่อนยังอุ่นใจว่าเขตตำบลในเวียงจะปลอดสิ่งเริงโลกีย์ และเป็นจุดแข็งของเมืองน่านที่สามารถอวดใครต่อใครได้
แต่วันนี้ลองเดินดูจากแยกฟ้าใหม่ ถนนอนันตวรฤทธิเดชดูสิ แล้วจะเห็นว่าร้านรวงต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นร้านอะไร... หรือว่าร้านอาหารธรรมดาแค่นั้นหรือ
ลำพังแค่บ้านสวนหอมหมู่บ้านเดียวที่อยู่นอกเขตตำบลในเวียง แต่พื้นที่ติดกันก็สร้างปัญหาสังคมได้ไม่น้อย อีกหน่อยถนนอนันตวรฤทธิเดชจะมิกลายเป็นพัฒพงศ์เมืองน่านหรอกหรือ
ความเจริญแบบนี้หรือที่ชาวน่านต้องการ... สภาวัฒนธรรมที่เคยเข้มแข็งตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่...
หรือว่าเราจะรอให้น่านเป็นเหมือนปายเสียก่อนแล้วค่อยมาหาทางแก้ไขกันต่อ...
การย้ายถิ่นฐานด้วยการลงทุนจากคนต่างถิ่นเป็นสิ่งที่ดี แต่เมืองน่านมีพื้นฐานหรือแรงคุ้มกันจากอันตรายที่จะทำให้รากเหง้าของชุมชนอันดีงามต้องล่มสลายหรือยัง...
แหล่งทุนเป็นสิ่งที่ดีต่อการพัฒนา แต่การเข้ามาของแหล่งทุนอาจจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาแบบขาดความยั่งยืนก็เป็นได้
หากคุณบัณฑูร ล่ำซำ รักเมืองน่านเหมือนอย่างที่เคยพูดไว้แล้วก็ ปัญหาแค่นี้คงไม่ลำบากมากมายอะไร จะง่ายกว่าเอาสายไฟลงดินทั่วเมืองน่านเสียอีก
อย่างน้อยก็ของเอาแหล่งเริงโลกีย์ทั้งหลายออกจากตำบลในเวียงเสียทีเถอะ... ที่เหลือค่อยว่ากันต่อไป...
ไม่มีความเห็น