ใน Qualitative IV เป็นการลงความเห็แบบ อุปนัย คือลงความเห็น หรือวิจัยหาคำตอบจากกลุ่มตัวอย่างไปหาประชากรที่เราไม่รู้ เราจึงกล่าวได้ว่า Qualitative Research เป็นการวิจัยเชิง Inductive Research หรืออุปนัยก็ได้ ตัวอย่างต่อไปนี้จะชี้ว่า Qualitative Research จะเป็นการวิจัยแบบ นิรนัย หรือ Deductive Research ก็ได้
สมมุติว่า เรารู้อยูก่อนแล้วว่าประชากรชาวนครฯที่เลือกประชาธิปัตย์มี = 40% นอกนั้นเลือกพรรคอื่นๆ เราจึงตั้งสมมุติฐานว่า ถ้าเลือกลุ่มตัวอย่างมาจากชาวนครฯแล้วจะได้ผู้ที่เลือกพรรคปรชาธิปัตย์ 40% จากนั้นเราก็เลือกกลุ่มตัวอย่างจากชาวนครฯมา 300 คน แล้วสัมภาษณ์ หรือใช้แบบสอบถาม นับจำนวนคำตอบ แปลงเป็น % สมมุติว่า ได้ 42 % ซึ่งมากกว่า 40% แล้วเราจะสรุปว่า
เพราะว่า ข้อมูลไม่สนับสนุนสมมุติฐาน(สมมุติฐานผิด)
เพราะว่า สมมุติฐานถูกนิรนัย(Induced)มาจากประชากรฯ (40%)
เพราะฉะนั้น ประชากรฯ (40%) จึงไม่ได้รับการสนับสนุน(ผิด)ด้วย
ดังนี้ ไม่ได้ เพราะว่า 40% < 42% นั้น อาจจะไม่จริงก็ได้ เราต้องทดสอบเชิงสถิติก่อน ถ้าหลังจากทดสอบแล้ว เราพบว่า 42% - 40% = 2% นั้น ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 (เขียน .05 ก็มี) ก็แสดงว่า ที่แท้แล้วหาได้แตกต่างกันไม่ ที่ต่างกัน = 2% นั้น เป็นเพราะ ความคลาดเคลื่อนที่เข้าไปรวมอยู่ด้วยใน 42% นั้น
ดังนั้น เราจึงสรุปว่า สมมุติฐานได้รับการสนับสนุนจากข้อมูล แค่สมมุติฐานนั้นเรานิรัยมาจากประชากร ดังนั้น ประชากรจึงได้รับการสนับสนุนจากข้อมูลด้วย ดังนั้น ที่ว่าชาวนครฯเลือกพรรคประชาธิปัตย์ 40% นั้น ยังไม่ผิด
กระบวนการวิจัยเช่นนี้เป็นกระบวนการเชิงนิรนัย หรือ Deduction ดังนั้น Qualitative Research จึงเป็นการวิจัยที่จัดเป็นกลุ่ม Deductive Research ก็ได้ด้วยเหมือนกัน
แต่ถึงแม้ว่า Qualitative Research จะแปลงข้อมูลดิบเป็นตัวเลข และแปลงเป็นค่สถิติต่างๆได้ ตามที่กล่าวมาก็จริง มันก็หาได้กลายไปเป็น Quantitative Research ไม่ และ ความรู้ที่มันค้นพบ ก็หาไดเป็น Law ไม่ มันก็ยังคงพบความรู้ในระดับ Fact อยู่นั่นเอง เพราะความรู้เหล่านั้ยังคงมีความเป็นเฉพาะอยู่