กุสินารา .. เมืองแห่งศรัทธาและปัญญา


เปลวไฟที่ลุกโชนและเผาผลาญตรงหน้า คล้ายกับเครื่องเตือนสติให้เราเผาผลาญกิเลสและอวิชชาทั้งหลายให้ออกไปจากจิตใจ น้อมรับในการเป็นพุทธทายาทสืบสกุลของพระพุทธเจ้าสืบต่อไป

หลังจากรับประทานอาหารเช้าอันแสนอร่อยจากแม่ครัวคนไทยที่ติดตามคณะไปด้วยแล้ว เราก็เดินทางไปที่บริเวณสาลวโนทยานอันเป็นที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

อันว่าเมืองกุสินารานี้นับว่าเป็นเมืองที่เล็กเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองอื่นๆ แต่พระพุทธองค์ได้ทรงเลือกเมืองนี้เพื่อเป็นสถานที่ปรินิพพาน เนื่องจากท่านทรงทราบดีว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว พระสรีระ และพระบรมสารีริกธาตุ จักต้องถูกแว่นแคว้นต่างๆแย่งชิงเป็นที่แน่แท้  หากพระองค์เลือกที่จะปรินิพพานในเมืองใหญ่ๆ เมืองใหญ่เหล่านั้นซึ่งมีอำนาจมากมายก็อาจที่จะไม่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้แก่เมืองเล้กๆ เช่นกุสินาราก็เป็นได้

เป็นน้ำพระทัยที่เปี่ยมด้วยมหาเมตตาบารมีของพระพุทธองค์

ในสาลวโนทยานนี้ พระเจ้าอโศกมหาราชได้โปรดให้สร้างสถูปปรินิพพานในบริเวณที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ ภายใต้ต้นสาละคู่ ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมี ต้นสาละ ที่ปลุกใหม่ไว้เป็นอนุสรณ์

พวกเราได้โอกาสสำคัญในการได้เข้าไปนั่งล้อมรอบ พระพุทธรูปปางปรินิพพาน สวดมนตร์ ภาวนาและ ถวายผ้าห่มองค์พระ พร้อมทั้งประทักษิณรอบปรินิพพานสถูปด้วย

พระมหาคมสรณ์ท่านวิทยากร ได้เตือนสติให้พวกเรารำลึกถึงสุดยอดแห่งพระวจนะ ที่พระบรมศาสดาได้ตรัสเป็นวาระสุดท้ายว่า

“ ดูกร.. ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด..”

นี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่เปรียบไม่ได้ แม้ในวาระสุดท้ายก่อนจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระองค์ยังทรงงานในหน้าที่อย่างสมบูรณ์

ผู้คนที่ได้มาจาริกสังเวชนียสถาน หากมีสติและมีปัญญา ย่อมที่จะน้อมนำและเจริญรอยตามพระบรมศาสดาเป็นแน่แท้  ได้ปัญญาหยั่งรู้ถึงความไม่เที่ยง ยังตนอยู่ในความไม่ประมาท และสืบตนเองให้เป็นทายาทมรดกของพระพุทธเจ้าสืบต่อไป

ท่านวิทยากร ได้ชี้ชวนให้พวกเราดูบริเวณป่าย่อมๆ หลังอุทยานแห่งนี้และบอกว่า

“ นั่นคือที่พระอานนท์แอบไปร้องไห้เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธิ์”

หลังจากนั้นเราได้ไปที่มกุฏพันธนะเจดีย์ อันเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ และเป็นที่อุบัติของพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อกราบสักการะ  ฝึกจิตใจให้เพื่อนำมรดกธรรมในการนำไปปฏิบัติต่อไป

ณ. ที่นี้พระเดชพระคุณเจ้าที่ร่วมคณะไปด้วยให้พวกเราได้เขียนชื่อชื่อของญาติมิตรผู้วายชนม์ ใส่กระดาษเพื่อบังสกุลและทำพิธีอุทิศส่วนกุศล   ในสถานศักดิ์สิทธิ์และเคย เป็นที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ มาก่อน

เปลวไฟที่ลุกโชนและเผาผลาญตรงหน้า คล้ายกับเครื่องเตือนสติให้เราเผาผลาญกิเลสและอวิชชาทั้งหลายให้ออกไปจากจิตใจ น้อมรับในการเป็นพุทธทายาทสืบสกุลของพระพุทธเจ้าสืบต่อไป

หลายๆคน เมื่อไปกราบไหว้พระพุทธรูปปางมหาปรินิพพานมักจะใช้ศรีษะแนบที่พระบาทของพระบรมศาสดา ราวกับจะเป็นเครื่องหมายว่า จะเป็นผู้เดินตามรอยเท้าของพระองค์ ตราบจนชีวิตจะหาไม่

หลังจากได้กราบสักการะแล้ว แม่ต้อยใช้เวลาอย่างรวดเร็วในการเข้าไปเยี่ยมสถานพยาบาลกุสินาราคลีนิค เพื่อที่จะไปพบคุรหมอชาญชัยและทีม จากรพ.ยางตลาดที่อาสาสมัครมาตรวจรักษาผู้ป่วยที่นี่

มือสองข้างถือถุงกับข้าวที่แสนอร่อยของแม่ครัวชาวไทยไปฝาก เพราะเป็นห่วงว่า จะหาอาหารไทยไม่ค่อยได้

เมื่อเข้าไปที่คลินิค พบคนไข้ล้นหลาม คุณหมอชาวอินเดียแจ้งว่าทีมหมอจากประเทศไทยตอนนี้ไปออกหน่วยที่ลุมพินี ประเทศเนปาล เพราะว่ามีโรคท้องเดินระบาด ออกเดินทางตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว

แม่ต้อยจึงรีบลากลับและบอกว่า จะไปเจอทีมที่นั่นก็แล้วกันเพราะว่าเราจะเดินทางไลมพินีในบ่ายนี้แล้ว

สำหรับคลินิคนี้ได้สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อดูแลพุทธบริษัทที่มาแสวงบุญ เช่นแม่ต้อยนี้ รวมถึงชาวอินเดียในแถบนั้นด้วย

ปัจจุบันการจัดบริการเกือบครบวงจร มีรถพยาบาลฉุกเฉินด้วยในการทำงานเชิงรุก แม่ต้อยทราบมาว่าชาวอินเดียชอบมากคลินิคคนไทยนี้ เนื่องจากราคาถูกมากน่าจะประมาณ ๑๐ รูปีต่อการตรวจ ( หากจำไม่ผิดนะคะ )

เราได้ร่วมทอดผ้าป่าที่วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์อีกในวันนี้ นับว่าเป็นวัดที่สามของการเดินทาง โอกาสของการได้ร่วมทำบุญในดินแดนพุทธภูมิแห่งนี้ทำให้รู้สึกเต็มตื้นในหัวใจยิ่งนัก

วัดนี้สวยงามร่มรื่น มีที่พักสำหรับผู้ที่ต้องการพักสะดวกมาก เสียดายที่แม่ต้อยไม่ได้ลองใช้บริการ

ที่เด่นเป็นสง่าคือ พระมหาเจดีย์ “ พระมหาธาตุเฉลิมราชศรัทธา” ที่แม่ต้อยทราบมาว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ในการก่อสร้างในเบื้องต้น ข้างในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และเส้นพระเจ้า

ตอนบ่ายเราเดินทางอีกครั้งหนึ่งเพื่อไปที่เมืองลุมพินีวัน สถานที่ประสุติ และเมืองนี้เราต้องนั่งรถบัสข้ามเขตแดนไปที่เนปาลเลย

คราวนี้ใช้เวลาเดินทางเพียง๕ ชั่วโมงเท่านั้นเอง นับว่า ชิล ชิล มากสำหรับผุ้ที่ผ่านการเดินทางยาวกว่า ๘ ชั่วโมงมาแล้วถึงสองวันเช่นแม่ต้อยและผองเพื่อนๆ ฮ่าๆๆ

แม่ต้อยเพลิดเพลิน เช่นเคย คิดในใจว่าระยะทางที่ผ่านไป จนเกือบสุดชายแดนของอินเดีย ภาพต่างๆก็ค่อยๆเปลี่ยนตามไปด้วยราวกับหนังม้วนใหม่

การเดินทางแถวๆนี้เขานิยมใช้รถคล้ายๆรถจิ้ป ที่บ้านเรา มีคนนั่งเต็มเช่นเคย  บางครั้งก็เห็นรถเทียมวัวบรรทุก พืชผักผลไม้ ชายหนุ่มโพกผ้าที่ศรีษะราวกามนิตหนุ่ม   บ้างก็นั่งรถสามล้อ เปิดประทุนรับลมเย็นสบาย

ยิ่งใกล้ชายแดนเท่าไหร่ มีผู้คนแออัดมากยิ่งขึ้น คงไปมาหาสุ่หรือมาซื้อขายกัน คล้ายๆชายแดนบ้านเรา เช่นที่แม่สาย เชียงราย หรือ แถวท่าเสด็จหนองคาย ทำนองนั้น

บางครั้งรถติดมาก จนมองจากรถไปเห้นผ้าส่าหรีสีสวยงาม แขวนล่อตาล่อใจ จนกิเลส ที่เพิ่งเผาผลาญไปในตอนเช้ากลับมาอีกอย่างรวดเร็ว แฮ่ๆๆๆ

ที่จริงพระวิทยากร ท่านมีเมตตากับแม่ต้อยมาก เอ่ยถามแม่ต้อยว่า

" โยม..อยากได้คาถาเงินเหลือไหม?"

แม่ต้อยตาลุกโพลง  รับพูดระล่ำระลัก... อยากได้คะ ...อยากได้

เอางี้นะ  ท่องนะโมสามจบ  แล้วเพ่งดูที่สินค้านั้น พร้อมกำหนดในใจว่า

" แพง...ชี้บบบบ"

อิอิ โยมจะรับไปฝึกปฏิบัติคะ..

พ่อค้าบางคนแม้จะเห็นเรานั่งในรถปิดประตูไม่มีทางลงไปซื้อของ ได้แน่นอน แต่ก็ยังพยายามพยักเพยิด ชี้ชวนให้เราช่วยซื้อสินค้าของเขา  พยายามดีจริงๆ คงอยากหารายได้มากๆจะได้นำเอาไปให้ ภรรยาที่บ้านตามคติของหนุ่มอินเดีย อิอิ

ก่อนถึงเนปาล เราแวะที่ พุทธวิหารสาลวโณทยาน ๙๖๐ เพื่อแวะเข้าห้องน้ำที่แสนสะอาดและหอมกรุ่น ที่ตลอดการเดินทางเราโหยหามาตลอด  ที่นี่เรายังได้กินโรตีอร่อยกับน้ำชาร้อนๆอันหอมกรุ่น เหมาะกับอากาศที่หนาวเย็นในตอนนั้นเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ

ที่นี่ แม่ต้อยและเพื่อนๆได้มีโอกาสที่รอคอยมานานแสนนาน นั่นคือการเลือกซื้อสินค้าของฝาก ที่มีมากมาย ที่ทางพุทธวิหารได้จัดเตรียมไว้ โดยรายได้ทั้งหมดเพื่อการทะนุบำรุงสถานที่แห่งนี้สำหรับผู้แสวงบุญในการมาปฏิบัติบูชา หรือแวะพักก่อนเดินทางเข้าสู่ประเทศเนปาล

เดินทางอีกครั้งไม่นานนักเราก็ถึงที่พักที่โรงแรมลุมพินีการ์เดน โรงแรมแห่งนี้แม้ว่าจะสร้างมาแล้วเป็นเวลาหลายสิบปีแต่ก็สะอาดและน่าสบาย

โรงแรมออกแบบในสไตล์ญี่ปุ่น คืนนั้น แม่ต้อยและเพื่อนๆจึงได้นอนที่นอนแบบเรียวกังในเนปาล  ... ด้วยความสุข

ทุกค่ำคืนระหว่างการจาริกแสวงบุญ แม่ต้อยและเพือนๆ จะปฏิบัติบูชาด้วยการสวดมนตร์ ทำวัตรเย็น และฝึกนั่งสมาธิทุกคืน

และคืนนี้ที่เนปาลก็เช่นกัน..

นมัสเตคะ

 

 

 

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #กุสินารา
หมายเลขบันทึก: 427006เขียนเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2011 21:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:36 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

งดงามทั้งเรื่องและภาพ วิถีอินเดียดูอย่างไรก็มีเสน่ห์ทั้งๆที่ไม่เคยไป
มาช่วยคุณโยมตรวจอักษร เห็นชื่อเรื่องแล้วไม่คุ้น(กุสานารา) แต่พออ่านเนื้อเรื่องก็เลยเข้าใจว่าคือเมืองกุสินารา
อนุโมทนา

Ico48

นมัสการพระคุณเจ้าคะ

กราบขอบพระคุณคะ

เป็นกุสินาราจริงๆคะ  พิมพ์ผิดคะ

ต้องกราบขออภัยพระคุณเจ้าด้วยนะคะ

 

 

กราบขอบคุณพี่ต้อยค่ะ ที่รีบเขียนให้อ่านได้ทันใจ  ยังเหลืออีกเยอะกว่าจะจบนะคะ อย่าเพิ่งรีบจบถ้าให้ดีขอรูปดูด้วยค่ะ  อ้อ ที่ รพ กุสินาราค่ารักษาคนละ 8 รูปีรักษาทุกโรค ปีหน้าอาจจะเป็น 10 ค่ะ

เรียนแม่ต้อยที่นับถือ

  • น้องมาส่งความสุขค่ะ

พี่กุลคะ

สวัวดีคะ กุลที่รัก

ขอบคุณมากคะ ที่ติดตามอ่านอย่างใกล้ชิดคะ 

ใช่แล้วคะ ค่ารักษาแค่ ๘รุปี เท่านั้นเองคะ พี่ต้อยจำได้คลับคล้ายคลับคลา

ตอนต่อไปนางเอกชื่อกุลจะออกแล้วนะคะ อิอิ

พี่ต้อยไม่ค่อยมีรูปคนเลย คะ ชอบถ่ายแต่วิวคะ 

     กุสินารา  แม้ในตอนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน  จะปรากฎว่าเป็นเมืองเล็กเมืองน้อยก็จริงอยู่  แต่ในโบราณกาลที่ผ่านมา   เคยเป็นที่ประทับของพระเจ้าจักพรรดิ  พระนามว่า "มหาสุทัสสนะ"  นครนี้   เคยมีชื่อว่า  "กุสาวดี"  เป็นราชธานีที่สมบูรณ์  มั่งคั่ง   มีคนมากมาย   พรั่งพร้อมด้วยพืชพรรณธัญญาหาร   มีรมณียสถานที่บันเทิงจิต   ประดุจราชธานีแห่งทิพยนคร   กุสาวดีนี้   กึกก้องนฤนาททั้งกลางวันกลางคืนด้วยเสียง  ๑๐  ประการ   คือเสียงช้าง  ม้า เสียงกลอง  เสียงรถ  ตะโพน  เสียงพิณ  เสียงขับร้อง  เสียงกังสดาล  เสียงสังข์ รวมทั้งเสียงประชาชน  เรียกกันบริโภคอาหารด้วยความสำราญเบิกบานจิต

 

     พระเจ้ามหาสุทัสสนะองค์จักรพรรดิ   ก็ทรงเป็นอิสราธิบดีในปฐพีมณฑล  ทรงชนะปัจจามิตรโดยธรรม   ไม่ต้องใช้ทัณฑ์และศัสตรา   ชนบทสงบราบคาบปราศจากโจรผู้ร้าย   มารดายังบุตรให้ฟ้อนอยู่บนอก    ด้วยความเพลิดเพลิน  ประตูบ้านปราศจากลิ่มสลัก   เป็นนครที่รื่นรมย์   ร่มเย็นสมเป็นราชธานี   แห่งพระเจ้าจักรพรรดิราชอย่างแท้จริง

     มาเยี่ยมชมคุณโยม ได้รู้เรื่องความเป็นไปของอินเดีย ท่องแดนพุทธภูมิ ตามรอยบาทพระศาสดา

   

สวัสดีค่ะ

ยังไม่เคยไปอินเดียสักที จึงมารับรู้เรื่องราวจากบันทึกนี้ค่ะ

" โยม..อยากได้คาถาเงินเหลือไหม?"

แม่ต้อยตาลุกโพลง  รับพูดระล่ำระลัก... อยากได้คะ ...อยากได้

เอางี้นะ  ท่องนะโมสามจบ  แล้วเพ่งดูที่สินค้านั้น พร้อมกำหนดในใจว่า

" แพง...ชี้บบบบ"

อิอิ โยมจะรับไปฝึกปฏิบัติคะ..

ชอบคาถานี้จัง

เห็นภาพแบบนี้แล้วนึกถึงอินเดียเสมอ


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท