ก่อนที่จะออกจากเมืองพาราณสี อันเป็นเมืองศูนย์กลางพระศานาและนักปรัชญา ถนนคราคร่ำไปด้วยผู้คน รถรา เสียงแตรรถดังสนั่นไปทั้งถนน นับว่าเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่างจริง ไม่ว่า ศาสนา อุตสาหกรรม และการทอผ้า
เมืองนี้มีสินค้าที่เป็นที่รู้จักทั่วโลกคือผ้าไหม กาสี และอุตสาหกรรมการทอพรม ที่โด่งดังมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน
เป็นธรรมเนียมของมหาราณี ทั้งหลายที่เมื่อได้แสวงบุญแล้ว ก็ต้อง เสวยบุญ ด้วยควบคู่กันไปด้วย ฮ่าๆๆ
อันคำว่าเสวยบุญนั้นในความหมายของแม่ต้อย ก็คือการที่มีโอกาสแวะเวียนชมสินค้าและ กระจายรูปีที่มีอยู่ในมือออกไปนั่นแล.. อิอิ
เราจึงไปแวะร้านที่ขายของ ที่มีครบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นผ้าทอ กาสี ผ้าไหมส่าหรี อันงามมากๆ กำไล เครืองประดับต่างๆ รวมทั้งพรมทอมืออันหรูหรา สินค้าในร้านราคาไม่ธรรมดา ราวกับจะเป็นภาพตรงข้ามกับความจริงที่เราเพิ่งได้เจอมาหยกๆ
แม่ต้อยติดใจพรมผืนหนึ่ง สวยจริงๆ สนนราคา ประมาณ เกือบห้าแสนบาท.. อุแม่จ้าว..
จึงเดินคอตกกลับมาขึ้นรถ พระอาจารย์ คมสรณ์ ถามว่า
“ โยม.. ซื้ออะไรได้บ้าง..?”
“ ไม่ได้คะ เพราะที่ชอบ ราคาไม่ถูกใจคะ.. แม่ต้อยตอบแบบชาวอินเดีย คือแบบเปิดเผย ฮ่า ฮ่า
พระอาจารย์คมสรณ์ ยิ้มและบอกต่อว่า
“ ราคาที่อินเดียนี่มีสองราคานะโยม.. คือ ราคาที่ถูกใจ และ อีกอันคือ ราคาที่ถูกหลอก...”
เอาละสิ สงสัยแม่ต้อยจะต้องโดนทั้งสองราคาแน่ๆ นับจากนี้
หลังจากนั้น เราก็จะเดินทางไปนครสารนาถ อันเป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าไปแสดงปฐมเทศนา ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ให้แก่ปัญญจวัคคีย์ทั้ง๕
และที่นี่ท่านพราห์มโกณทัญญะ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์องค์แรก นับว่าพระรัตนตรัย ครบองค์สามในวันนี้ และ นั่นคือวัน” อาสาฬหบูชา” นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
แม่ต้อยได้มีโอกาสเวียนเทียนรอบๆธรรมเมกขสถูปและร่วมสาธยายสวดมนตร์ในบท ” ธัมจักกัปปวัฒนสูตร” ด้วย ณ ที่นี้.
ไม่สามารถอธิบายได้ถึงความรู้สึก ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น แม่ต้อยได้ศึกษาความหมายของบทสวดนี้ล่วงหน้าจึงมีความรู้สึกว่าในขณะนี้ เราได้นั่งต่อหน้าบรมศาสดาและร่วมรับฟัง พระปฐมเทศนาด้วยตัวเอง หลายคนที่ไปก็มีความรู้สึกที่คล้ายคลึงกัน
บริเวณโบราณสถานนี้ในประวัติศาสตร์โบราณได้บันทึกไว้ว่ามีความเจริญรุ่งเรืองมากมาย มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาประมาณ ๑๕๐๐ รูป ต่อมาได้ถูกทำลาย อย่างย่อยยับจากกองทัพทหารมุสลิม จนกระทั่ง ท่านอนาคาริกชาวศรีลังกามาบูรณะใหม่อีกครั้งหนึ่ง
บริเวณนี้ยังเห็นร่องรอยมากมาย อาทิเช่น เสาหินของพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ยังค่อนข้างสมบูรณ์ กุฎิ และวิหาร พระมูลคันธกุฎี สถานที่ประทับจำพรรษาแรกของพระพุทธเจ้า เป็นต้น
ในตอนบ่ายแม่ต้อยและคณะเดินทางไปเมืองสาวัตถีโดยใช้ระยะเวลาเดินทางบนรถไม่น้อยกว่า ๘ ชั่วโมง
ในระหว่างทางจากสารนาถไปสาวัตถีนี้ จึงเป็นโอกาสที่จะได้ชมทิวทัศน์ระหว่างทาง ของรัฐอุตระประเทศ ชีวิตความเป็นอยู่อีกครั้งหนึ่ง
เราแล่นผ่านเมืองต่างๆ หลายต่อหลายเมือง ผ่านทุ่งข้าว ข้าวโพด ไร่ถั่ว ทุ่งมัสตาดสีเหลืองทอง ไร่กะหล่ำ
บางครั้งก็จะเห็นภาพผู้หญิงชาวอินเดียออกมาเก็บเกี่ยวพืชผลตามท้องนา เป็นกลุ่มๆ บ้างก็แบกฟืนมัดโตๆไว้บนศรีษะ ช่างแข็งแรงดีจริงๆ หากเป็นบริเวณในตัวเมือง จะเห็นการขายสินค้าคล้ายๆตลาดสดอยุ่ข้างทางนั่นเอง มีพวกเนื้อไก่ ปลา และผักผลไม้
การขายเนื้อไก่นั้น เขาจะขังไก่ไว้ในกรงแล้วคนซื้อจะเลือกว่าจะซื้อตัวไหน พ่อค้าก็จะจัดการฆ่าและชำแหละให้เดี๋ยวนั้นเลย คงคล้ายๆกับที่บ้านเราชายปลาสดนั่นเอง แต่แม่ต้อยว่าน่าหวาดเสียวเหลือเกิน
พระวิทยากร ท่านชี้ชวนให้ดูรถประจำทางที่จอดรอผู้โดยสารข้างทาง แม่ต้อยเห็นรถคันนั้นมีคนนั่งเต็มทั้งข้างในรถ และยังนั่งบนหลังคาอีกสิบกว่าคนได้
“ เขายังออกไม่ได้เพราะยังไม่เต็ม”
อ้าว.. ทุกคนออกอุทานด้วยความแปลกใจ นั่งถึงบนหลังคาแล้วยังว่าไม่เต็มได้ไง..
“ ยังมีที่นั่งบนฝากระโปรงอีก..” ฮ่าๆๆ จริงหรือเจ้าคะ พระอาจารย์ นี่โยมแม่ต้อยเชื่อนะคะ
แล้วที่เห็นนี้ยังไม่นับคนขับนะ เพราะคนขับเขานั่งแค่ครึ่งตัวในรถ อีกครึ่งตัวจะโผล่มานอกรถ .. ถ้าจะเบรคต้องขอให้คนโดยสารช่วยเหยียบให้..” ฮ่าๆๆ
จริงๆนะ อาตมาเคยซื้อที่นั่งทั้งหมดแถวหน้า เพื่อให้คนขับนั่งขับแบบสบายๆ แต่เขาก็ยังนั่งครึ่งเดียว มันเคยนะ.. พระวิทยากร เกรงว่าเราจะไม่เชื่อ..จึงต้องมายืนยันอีกครั้งหนึ่ง
ว้าวว เป็นมหัศจรรย์จริงๆคะ
การเดินทาง นานนับ ๘ ชั่วโมงแบบนี้จำเป็นที่จะต้องมีการขอพักเข้าห้องน้ำเป็นธรรมดา แต่เส้นทางนี้ไม่มีโรงแรม ไม่มีห้องน้ำใดใดทั้งสิ้น ดังนั้นเราต้องใช้ส้วมธรรมชาติ คือแถวๆทุ่งนานั่นแล.. ฮ่า ๆๆ.
ทัวร์ เอื้องหลวง นี้ดีคะ เพราะเขามีนวตกรรมการเข้าห้องน้ำแบบชายทุ่งได้ดี คือมีกระโจมเล็กๆไว้กาง สำหรับเข้าไปทำธุระ ส่วนตัว พอคนใหม่เข้าไป กระโจมนี้ก็จะย้ายไปเรื่อยๆ เป็นที่น่าสนใจของผู้คนชาวอินเดียมาก ถึงกับออกมาดูกันอย่างแปลกใจ
“ ที่จริงเราทำแบบเขาก็ดีนะ เข้าไปนั่งตามพุ่มไม้นั่นแหละ จะได้ไม่ต้องกลายเป็นที่สนใจเยี่ยงนี้.
แม่ต้อยเสนอไอเดีย เมื่อเสร็จการธุระของตนเอง เสร็จสิ้นแล้ว อิอิ
บนเส้นทางที่ยาวนาน เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆเสมอ
แม่ต้อยยังจำคำพูดของท่านพระมหาคมสรณ์ได้เสมอว่า การมาอินเดียนั้น เราจะมาถึง ๔ อย่างคือ ได้มาถึงสถานที่จริง ได้มาสัมผัสทุกสิ่งที่เป็นความจริง ได้มาเห็นของจริงคือถึงตาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเราเอง
และเราได้มาถึงใจ เป็นความอิ่มเอิบที่เกิดขึ้นจากการที่ได้มาแดนพุทธภูมินี้ และสุดท้ายคือ เราได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างด้วยหู ของเราเอง
และสุดท้ายที่สุด เราจะรักบ้านเกิดเมืองนอน คือประเทศไทยเรามากยิ่งขึ้น
วันนี้แม่ต้อยขอจบเรื่องเมืองสารนาถเท่านี้นะคะ
สวัสดีคะ
นมัสเต
ชอบจังค่ะพี่ต้อย กรุณาเขียนต่อไวๆ นะคะ คอยอ่านอยู่ แอบมาเปิดอ่านทุกวัน ไม่เจอของใหม่ ก็อ่านของเก่าทวนซ้ำหลาบรอบแล้วค่ะ
ผมว่าคนขับแกไม่ได้มีมาตรฐานว่าจะต้องได้กี่ตังค์แล้วค่อยออกรถหรอกครับ แกจะออกรถเมื่อแกได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้มากกว่า เราเองอาจจะเข้าใจผิด เพราะบริบทการคิดมันไม่เหมืิิิอนกัน
จำลองลักษณ์ สัญญะเดชากุล
สวัสดีคะกุล
โอ้โห นี่ไม่รู้ว่ามีนางเอกของเรื่องมาแอบอ่าน
ต้องรีบเขียนต่อฌดยเร็วๆๆ พี่ต้องมัวแต่ติดประชุมคะ อยากเขียนอยู่คะ อิอิ