โลกอื่น พุทธทาสภิกขุ


เมื่อไปนั่งนอนบนที่พักอันหรูหรา จิตใจมันไปอีกอย่างหนึ่ง พอนั่งลงกลางดิน จิตใจมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นอีกโลกหนึ่ง กินเหล้าเมามาย ก็จะมีโลกอีกชนิดหนึ่ง เราจึงเปลี่ยนโลกเรื่อยไป

โลกอื่น พุทธทาสภิกขุ

   เมื่อไปนั่งนอนบนที่พักอันหรูหรา จิตใจมันไปอีกอย่างหนึ่ง พอนั่งลงกลางดิน จิตใจมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นอีกโลกหนึ่ง กินเหล้าเมามาย ก็จะมีโลกอีกชนิดหนึ่ง เราจึงเปลี่ยนโลกเรื่อยไป เเล้วเราจะเลือกเปลี่ยนโลกอย่างไร จึงจะเป็นวิถีของพุทธบริษัทที่มีปัญญา

                            

   โลกอื่น หมายความว่าอย่างไร ท่านอาคันตุกะผู้มาเยี่ยมวัดทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย ขอต้อนรับตามที่จะทำได้ ในลักษณะของ ธรรมะปฏิสันถาร ไม่มีวัตถุสิ่งของเครื่องเลี้ยงเครื่องดื่มอะไรสำหรับปฏิสันถาร เพื่อจะได้รับประโยชน์จากพระธรรม และต้อนรับด้วยที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า ในกลางดิน พระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานก็กลางดิน ท่านทั้งหลายไม่เคยนั่งกลางดินก็ขอต้อนรับด้วยแผ่นดิน เป็นอีกโลกหนึ่ง ทำไมถึงว่าเป็นอีกโลกหนึ่ง เพราะว่ามันรู้สึกต่างกัน เมื่อไปนั่งนอนบนที่พักอันหรูหรา จิตใจมันไปอีกอย่างหนึ่ง พอนั่งลงกลางดิน จิตใจมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ขอให้ท่านทั้งเทียบเคียง ดูกันเอาเอง แล้วจะรู้ว่า โลกอื่น มันหมายความว่าอย่างไร ฉะนั้นวันนี้จะบรรยายเกี่ยวกับโลกอื่น

    โลกอื่น คนส่วนใหญ่หมายถึง จะไปได้เมื่อตายแล้ว นั่นมัน โลกละเมอเพ้อฝัน จริงหรือไม่ ก็ไม่รู้ โลกอื่น ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ที่มันสัมผัสได้จริงมันก็มีอยู่ โลกมันคืออะไร ที่ว่าแผ่นดินนั้น มันไม่สำคัญเท่าไร แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เข้ามากระทบจิตใจทางตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ นั่นคือโลก ถ้าเราไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็ไม่มีอะไร โลกก็ไม่มี ก็คือพวก รูป รส กลิ่น เสียง นั่นแหละ ถ้ามันเข้ามากระทบก็เรียกว่า มันมี และถ้ามันไม่เข้ามากระทบ ก็คือ มันไม่มี ลองคิดดูให้ดี พระพุทธเจ้าตรัสว่า โลกมีอยู่จริง รู้สึกได้จริง คราวนี้มันอยู่ที่เราว่าจะชนะมัน หรือแพ้มันและถ้าเรารู้ไม่ทัน ไอ้สิ่งที่เรียกว่าโลก พวกกิเลสตัณหา มันก็เข้ามา ทำให้เราเป็นทุกข์และไม่รู้สึกตัวด้วย ถ้าเราไปหลงใหลในอายตนะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราก็ได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน แต่ถ้าเรามีสติปัญญา สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่ทำให้เราเกิดทุกข์ ทีนี้เราก็ได้โลกอย่างอื่นแล้ว คือโลกที่ไม่มีความทุกข์ทรมาน ที่สะอาด โดยที่เราไม่ต้องแตกหรือตายไป เราเปลี่ยนโลกอื่นได้ตามที่เราต้องการ ข้อนี้สำเร็จอยู่ที่เราคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราอย่างไร พูดอีกทีหนึ่งว่าเราจะทำให้จิตใจของเราก้าวหน้าสูงต่อไปอย่างไร สมมติว่า กินเหล้าเมามาย ก็จะมีโลกอีกชนิดหนึ่ง พอมันเลือกได้ ไม่กินเลย มันก็จะเป็นโลกอีกชนิดหนึ่ง 
     ทุกเรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ อาตมาอยากจะแนะ เรามันก็เปลี่ยนโลกอื่นมาเรื่อย มาตามธรรมชาติ แต่คราวนี้เราเปลี่ยนตามที่เราจัด ที่ว่าตามธรรมชาตินั่นคือ เมื่อเราเกิด เราก็จะมีโลกของลูกทารก พอทารกมันนั่งได้ เดินได้ โลกของมันก็เปลี่ยนไป มันได้สัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมากขึ้น โลกของมันก็เปลี่ยนไปพอโตขึ้น เป็นหนุ่มสาวโลกก็เปลี่ยนไปทางกามารมณ์มากขึ้น พอมาเป็นพ่อบ้านแม่เรือน ต้องทำงาน หาเงินโลกมันก็เปลี่ยนไป คือสิ่งที่มากระทบจิตมันเปลี่ยน ต่อมาเป็นคนเฒ่าคนแก่โลกก็เปลี่ยนไป ต้องสงบไม่วุ่นวาย คือไม่บ้าเหมือนแต่ก่อน มันน่าจะมีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับโลก ที่จะสอนเด็กรุ่นหลังให้มีจุดหมาย ให้ก้าวหน้า เป็นซ้ำอยู่ที่เดิม ก็ไม่ก้าวหน้า จะเป็นเด็กอยู่เรื่อยไป ก็ไม่ไหว จะเป็นวัยรุ่นอยู่เรื่อยไป ก็ไม่ไหว จะเป็นพ่อบ้านแม่เรือน อยู่เรื่อยไป ก็ไม่ไหว ต้องรู้จักถอนตัวออกจากภาระอันหนักเหมือนวัวเหมือนควาย พอแก่แล้วก็ไดรับโลกที่สะอาดสว่างไสว เยือกเย็น สงบ ไม่มีความทุกข์ ขอให้ได้รับโลกอย่างนี้กันทุกคน จะแบ่งกันกี่ภาคกี่ตอนก็แล้วแต่ แต่มันเป็นคนละตอนเมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันรับต่างกัน ตัวอย่างเช่น เด็กทารก มันได้เงินแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร พอหนุ่มสาวได้รับเงินแล้วก็พอใจ คนแก่คนสูงอายุได้เงิน ก็คิดเรื่องทุน เรื่องตั้งตัว คนที่แก่มากแล้วก็คิดทำบุญทำทาน ฉะนั้นเราจึงเปลี่ยนโลกเรื่อยไป ถ้าใครได้เปลี่ยนโลกมาตามลำดับนี้ ก็ไม่เสียทีที่เกิดมา ได้ชิมรสโลก ทุกโลก 
      ปัญหามันมีอยู่ว่า จะเปลี่ยนโลกได้อย่างไร ข้อนี้จะปล่อยตามธรรมชาติอย่างเดียว คงไม่ปลอดภัย จะต้องมีการศึกษา มีสติปัญญา รู้เรื่องสิ่งเหล่านี้ ควบคุมสิ่งเหล่านี้ ในตามบาลีว่า เกิดมาในโลกแรกคือ กามโลก ถือเป็นสัตว์ที่พอใจยินดีในกาม นี่ก็ระยะหนึ่ง ต่อมาก็เกิดในรูปโลก คือพอใจในทรัพย์สิน เงินทอง ต่อไปอีกพอแก่ชรามากเข้า เป็นอรูปโลก คือพอใจในสิ่งที่ไม่มีรูป คือ บุญกุศล และถ้าฉลาดต่อไปอีก มันก็จะเหนือโลก คือ โลกุตรนิพพาน โลกที่บ้าๆบอๆที่ผ่านมาพอกันที ต้องการมีจิตใจที่อยู่เหนือโลก ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งจิตใจให้ยินดี ยินร้าย ให้รัก โกรธ เกลียด กลัว อีกต่อไป คือใครก็ตามที่มีความอิจฉา ริษยา อาลัย อาวรณ์ อยู่ คนนี้มันยังอยู่ใต้โลก จมโลก แต่ถ้าไม่มีอะไรสามารถเข้ามาปรุงแต่งจิตใจได้แล้วอย่างนี้เรียกว่า เหนือโลก มันมีสักกี่คนที่อยู่เหนือโลก มีแต่จมตายอยู่ในโลก บางคนก็จมตายอยู่แค่กามโลก ดีหน่อยก็มาตายที่รูปโลก ถ้าดีขึ้นมาอีกหน่อยก็มาที่ อรูปโลก หลงในชื่อเสียง เกียรติยศ และบุญกุศล มันก็หยุด ก็ตายอยู่ตรงนี้ ที่พูดนี่ไม่ได้ดูถูกใคร แต่บอกให้ทราบว่าเรื่องมันมีอยู่อย่างนี้

อ่านต่อได้ที่ http://www.vcharkarn.com/varticle/16385

หมายเลขบันทึก: 425361เขียนเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2011 22:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท