Peter p
ปีเตอร์ ปีเตอร์ พี สินสาคร

อาถรรพ์แห่งป่า


หันมาอีกทีแกหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้



เรื่องที่ผมจะเล่านี้เป็นการเล่าสู่กันฟังเพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะครับ โปรดใช้วิจารณญานในการรับฟังครับ


ในช่วงชีวิตของคนเรา สักครั้งหนึ่งในชีวิต มีใครเคยเจอเรื่องราวลี้ลับบ้าง
 
         สำหรับผมแล้วเชื่อว่าในโลกนี้ เรื่องราวเร้นลับมีอยู่จริง และที่เชื่อเนื่องด้วยว่าเคยประสบพบมากับตัว เอง เท่าที่จำได้ ก็มีอยู่หลายเรื่อง แต่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่อง เร้นลับ ที่จำได้อย่างติดหูติดตา มาจนถึงทุกวันนี้ มาเล่าสู่กันฟังนะครับ
         โดยผมขอตั้งชื่อเรื่องว่า อาถรรพ์แห่งป่า
เรื่องราวนี้ผมยังจำได้มาจนถึงทุกวันนี้ นึกถึงทีไร ขนจะลุกซู่ขึ้นมาทันที แม้ว่าเหตุการณ์นี้มันจะผ่านมาแล้วถึง 20 กว่าปีแล้วก็ตาม     

          ย้อนความกลับไปเมื่อสัก ตอนที่ผมอายุประมาณ14 ปีเห็นจะได้ สมัยก่อนในช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ พวกผู้ใหญ่น้าอาทั้ง หลายที่เป็นผู้ชายในหมู่บ้านผม ก็จะหาอาชีพเสริมด้วยการไปรับจ้าง ปลูกมันสำปะหลัง ตัดอ้อย ถางหญ้าไร่อ้อย แต่ไม่ใช่แถวบ้านผมหรอกนะครับ            สถานที่ ที่ว่านี้ก็คือ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ซึ่งในครั้งนั้น เป็นช่วงปิดเทอมพอดี ตัวผมเองก็เริ่มโตเป็นหนุ่ม ก็อยากหารายได้มาช่วยทางบ้านบ้าง จึงอาสาไปทำงานร่วมกับเขาด้วย โดยการเดิน ทางในครั้งนั้นมีพลพรรคเดินทางไปประมาณสิบกว่าคนได้ ประกอบด้วยพวกผู้ใหญ่รุ่นน้าอา ประมาณ 6 -7 คน และก็มีเด็กหนุ่มรุ่นกระทง อย่างพวกผมติดสอยห้อยตามไปด้วยอีกสี่คน คือพี่ชายคนที่2 ของผม และก็เพื่อนสนิทรุ่นเดียวกันกับผมชื่อว่า "ไอ้ไว" ซึ่งเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้น ป.1 แล้วร่วมเดินทางมาด้วย 
        โดยการเดินทางไปในสมัยนั้นต้องนั่ง รถ บขส. จากตัวเมืองสุรินทร์ ลัดเลาะมาทาง อ.ละหานทราย บุรีรัมย์ ผ่านเขาใหญ่ เลาะมาเรื่อย จนมาถึงจังหวัดจันทบุรี ซึ่งการเดินทางในครั้งนั้นเล่นเอาผมแทบแย่ เพราะว่า ผมเป็นคนที่เมารถโดยสารประจำทางง่ายมาก อาเจียนจนหมดไส้หมดพุง โชคดีที่มีพี่ชายไปด้วย พอได้ดูแลผม      
       จนถึงตัวเมืองจันทบุรี ก็มีรถของของนายจ้าง ซึ่งพวกเราเรียกว่า "เถ้าแก่"มารับ และนำพวกผมทั้งหมดไปยังบ้านพักที่อยู่ในไร่ ซึ่งชาวบ้านแถบ นั้นจะเรียกว่าเป็น "ขนำ" โดยไร่แต่ละไร่ จะอยู่ห่างกันไปหลายร้อยเมตร และบ้านหลังนี้ก็อยู่ติดกับเขา ซึ่งเป็นที่มา ของเรื่องราวอันน่าระทึกขวัญ ที่ผมจะเล่าสู่กันต่อไปจากนี้นั่นเองครับ     
        บ้านพักที่พวกผมพักเป็นบ้านไม้ทรง แบบบ้านป่าทั่วไป มีใต้ถุน ยกสูงขึ้นจากพื้นดินประมาณ เมตรครึ่ง มีเสาประมาณ 12 ต้น เห็นจะได้ และมีบันไดแบบดั้งเดิม ที่สามารถยกเก็บได้   ไฟฟ้าไม่มี มีเพียงแสงจากตะเกียงเจ้าพายุดวงใหญ่ของเจ้าของไร่ที่ให้ไว้เท่า นั้น ขึ้นไปด้านบนตัวพื้นบ้านโล่ง สะอาดสะอ้าน มีเพียงอุปกรณ์ทำครัวเล็กน้อยๆเท่านั้นเอง เสื่อหมอนก็ไม่มี สิ่งอำนวยความสะดวกแบบนี้พวกเราต้องเตรียมกันมาเองจากบ้านนอกครับ และมีห้อง นอนใหญ่ 1 ห้อง และภายนอกเป็นลานบ้านใหญ่ ให้สูดอากาศ มีเพียง ชานไม้กั้นไว้กันตกเท่านั้นเอง ไม่ได้ปิดโล่ง และ คืนแรกของการเดินทางในวันนั้น พวกผมก็หลับไหลไปด้วยความอ่อนเพลีย
         ตื่นเช้าพวกผู้ใหญ่ก็จะแบ่งหน้าที่ให้ทำ บางคนเป็นพ่อครัว ส่วนพวกที่เหลือก็ทำงาน ซึ่งงานที่ทำก็คือปลูกมันสำปะหลัง ซึ่งในสมัยก่อนนั้นจะนิยมปลูกมากในแถบภาคตะวันออก ตกค่ำก็คุยกัน เป็นที่สนุกสนาน ในเรื่องสัพเพเหระต่างๆ จนถึง 2 ทุ่ม ก็หลับนอนกันแล้วครับ
          ผ่านไปจนหนึ่งอาทิตย์ ผ่านไป วันนั้นเป็นช่วงเย็นวันเสาร์ โดยเวลาทำงานจะเริ่มทำตั้งแต่ 8โมงเช้า - เที่ยง พักเที่ยง 1 ชั่วโมง แล้วเลิกงาน 5โมงเย็น หลังจากเลิกงานแล้ว ผมก็ได้ขออนุญาตน้าชิต ซึ่งเป็นหัวหน้าคนงาน ทั้งหมด ขออนุญาตไปขึ้นเขาที่อยู่ลิบๆห่างออกไปจากบ้านพักประมาณ ครึ่งกิโลได้ เพื่อจะไปหากล้วยป่ามากินกัน เพราะอยู่มาหลายวันกินแต่ต้มปลา ทูทุกวันก็เริ่มเบื่อ  
        "เอ้าไปก็ไป แต่อย่ากลับค่ำนักล่ะ และเดี๋ยวไอ้ไว เอ็งไปเป็นเพื่อนไอ้พีมันด้วย รีบไปรีบกลับนะเว้ย"   ครับผม                  ผมกับไอ้ไว ก็พากันเดินลัดเลาะตามทางที่มีต้นหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด เห็นกระต่ายป่าวิ่ง กันให้ขวักไขว่ จนมาถึงตีนเขามองขึ้นไปสักสิบเมตร เห็นกล้วยป่าเครืองาม สีเหลืองอร่ามกำลังสุกคาต้น ได้การล่ะ มีดปังตอที่อยู่ในมือฟันฉับเข้าไปที่เครือของกล้วยป่าสีหอม " เอ้ย ไอ้ไว ทางโน้นอีกเครือเว้ย เดี๋ยวเองเอาเครือโน้น ข้าแบกเครือนี้ วันนี้พวก น้าๆที่อยู่ข้างล่าง คงได้กินกล้วยป่าฝืมือเอ็งกับข้าแน่ๆเลย" 
       หลังจากที่แบกกล้วยป่าเดินลงมาจากป่านั้นตีนเขานั้นเอง   ผมก็เหลือบเห็นผู้หญิงแก่ๆ อายุน่าจะราวๆสี่สิบเห็นจะได้ นุ่งผ้าถุงแบบชาวไร่ทั่วไป "อ้าวป้า ป้ามาทำอะไรแถวนี้ครับ มาหากล้วยป่าอย่างพวกผมเหรอ"              เงียบ ไม่มีเสียงตอบ    "เฮ้ยไอ้ไว กลับกันเถอะ ตะวันใกล้ตกดินแล้ว ท้องข้าก็ชักเริ่มหิวข้าวแล้ว"   ผมหันกลับมามองป้าที่อยู่ข้างต้นไม้อีกทีเพื่อจะถามต่อ แต่ร่างนั้นกลับหายไหนแล้วไม่รู้ "
        เอ้ยเมื่อกี้ข้าเห็นป้าแก่ๆคนหนึ่ง ยืนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นนู้น หันมาอีกทีแกหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ว่ะ" แต่เอ แถบขนำนี้มันก็มีแต่พวกเรานี่หว่า แล้วป้าคนนี้แกมาจากไหนหว่า   ผมครุ่นคิดและพร่ำบ่นกับไอ้ไว ในขณะที่แบกกล้วยป่าเครือใหญ่ไว้บนบ่า เพื่อเดินกลับบ้านพัก ตะวันเริ่มโพล้เพล้แล้ว "นั่นนะซิว่ะ พวกเรามาอยู่นี่ตั้ง 1 อาทิตย์แล้ว ข้ายังไม่เคยเห็นใครเลยนอกจากพวกเรา เองตาฝาดไปหรือเปล่าว่ะไอ้พี"            "ไม่นะโว้ย ข้าเห็นจริงๆ แต่คุยด้วย แกไม่ยอมคุยด้วยว่ะ"             พอกลับมาถึงบ้านพัก พวกน้าๆก็กำลังง่วนกับกิจวัตรประจำวัน บางคนทำกับข้าว บางคนผ่าฟืน บางคนก็อาบน้ำที่ตุ่มข้างบ้าน แล้วพวกผมก็เตรียมตัวจะอาบ น้ำ แต่ปรากฎว่าน้ำในตุ่มดันหมด 
        พวกเอ็งคงต้องต้องไปหาบน้ำ จากบ่อ ในสวนป่ายางด้านล่างเอ็งแล้วล่ะ    ว่าแล้วผมกับไอ้ไว ก็คว้าไม้คาน คนละอัน พร้อมครุกระแป๋งเบอร์ 18 กระเตงเดินลงไปด้านล่าง เดินลงไปในป่าสวนยางพารา ลึกลงไปประมาณ 30 เมตร เห็นจะได้ จากบ้านพัก พอไปถึงบ่อ ก็จัดการเอาสายห้อยของครุสอดเข้ากับด้ามไม้ไผ่ แล้ว ก็จ้วงลงไปในบ่อเพื่อตักน้ำด้านล่างขึ้นมา  

         อึ๊บ ๆๆ ดึงน้ำขึ้นมาจากบ่อ ในขณะที่ผมกำลังเทน้ำลงครุกระแป๋ง อยู่นั้น สายตาของผมก็เหลือบมองไปเห็นหญิงสาวคนเดิม ที่ผมเห็น อยู่ที่ปลายตีนเขา แว๊บๆ อยู่ข้างสวนยาง เอ๊ะ ชักจะไม่ค่อยเข้าท่าแล้วซิตู ผมคิดในใจ รีบตักน้ำให้เต็มกระแป๋ง แล้วหาบน้ำกลับขึ้นมาด้านบนอย่างจ้ำอ้าว เ ฮ้ยไอ้ไว เองอยู่หลัง ข้าอยู่หน้านะเว้ย เองตัวใหญ่ ข้าตัวเล็ก ช่วยระวังหลังให้ข้าด้วย          
          ระวังอะไรหว่า "เออแหะน่า รีบกลับขึ้นไปข้างบนเถอะ ข้าชักเสียวๆ" เสียวอะไรของมึงว่ะ   ผมไม่ตอบ ได้แต่รีบจ้ำอ้าว น้ำจากครุกระแป๋งกระฉอก ตามทางที่ลาดชัน เป้าหมาย คือให้ถึงบ้านพักไวๆ   พอโผล่พ้นป่ายางมาเท่านั้นแหละครับ ตะวันโพล้เพล้ ก็ลับทิวเขาลงพอดี ผมรีบอาบน้ำ ชำระร่างกาย และร่วมกินข้าวคือต้มปลาทูสด กับผักจิ้มน้ำพริก ซึ่งเป็นอาหารหลักของทุกมื้อ
            
แล้วก็รีบเข้านอน น้าชิตๆ วันนี้ผมขอนอนตรงกลางนะครับ     ทำไมว่ะ เหอะน่าคืนนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เออตามใจมึง               จวบจนเวลาประมาณสักสามถึงสี่ทุ่มเห็นจะได้ พวกผมทั้ง 10 กว่าคนก็ต้องสะดุ้งโหยงกันทุกคน เมื่อมีเสียงปาสังกะสีดังเปรี้ยง ปร้างๆ เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นว่ะ พวกน้าๆที่เป็นผู้ใหญ่ พร้อมอาวุธประจำกายคือมีดอีโต้ พา กันลงไปดูด้านล่าง และสำรวจรอบบ้าน    ไม่เห็นมีใครนี่หว่า         
            ชักท่าไม่ดีแล้ว เฮ้ยขึ้นบ้าน แล้วชักบันไดขึ้นบนบ้านด้วยเว้ย น้าชิตร้องสั่งพวกเราทุก คน พวกเราทุกคน เริ่มใจคอไม่ค่อยดี   ไฟตะเกียงไม่ต้องดับน่ะ   จากนั้นจวบจนถึงราวประมาณ 5 ทุ่ม ในขณะที่พวกผมเริ่มจะเคลิ้มหลับกันอีกรอบ เสียงเอี๊ยดอ๊าดๆ พร้อมกันนั้นพวกผมรู้สึกโคลงเคลง มองตะเกียงเจ้าพายุดวงใหญ่แกว่งไกวไปมา ตามแรงโอนเอนของบ้าน เหมือนมีใครมาโยกเล่นเหมือนไกวเปล ก็ไม่ปาน เสียงลมพายุสักแอะก็ไม่มี แล้วบ้านทั้งหลัง เสาตั้ง12 ต้น มันโยกไปมาได้อย่างไร พวกผมทุกคนตกอยู่ในอาการตระหนก คุณพระคุณเจ้า พ่อแก้ว แม่แก้วช่วยลูกช้างด้วยเถิด โอมเพี้ยง พวกผู้ใหญ่ใจกล้าบางคนถือไฟฉายส่งลง มาด้านล่าง ไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน บ้านทั้งหลังมันโยกอยู่นั้นประมาณ 5 นาทีเห็นจะได้          

         คืนนั้นทั้งคืนพวกผมหลับกันไม่ลง   ต้องเป็นผีป่าผีไพรแน่ๆเลย เฮ้ยเจ้าสองคน พวกเอ็งขึ้นไปบนเขา ไปทำอะไรผิดต่อเจ้าป่าเจ้าเขาหรือเปล่าว่ะ แล้วคำตอบก็พรั่งพรูออกจากปากของ ผม ตามเนื้อความที่ผมได้เล่ามาทั้งหมด  
            จวบจนรุ่งเช้า เถ้าแก่มาที่ขนำพอดี พวกผมก็ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง เมื่อเถ้าแก่ได้ฟังแล้วก็พูดขึ้นว่า พวกคุณอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว คืนนี้พวกคุณต้องไปนอนที่หมู่บ้าน กับผมแล้วล่ะ     
         ในวันนั้นพวกผมก็ได้เก็บข้าวของ ออกจากบ้านพักอาถรรพ์หลังนั้นทันที ให้อยู่อีกคืนพวกผมก็ไม่อยู่แล้ว ครับ ใครจะเสี่ยงเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงกับสิ่งที่มองไม่เห็นเล่าครับท่าน      
       
         พวกผมได้ย้ายมาทำงานอยู่ที่ไร่แห่งใหม่ ซึ่งอยู่ติดหมู่บ้าน อีกแรมเดือน จนครบ 1 เดือน พวกผมก็รับค้าจ้างที่ทำงานโดยผมได้รับค้าจ้างวันละ 35 บาท ในสมัยนั้นค่าแรงเท่านั้นก็ถือว่ามากแล้วครับ เพราะเงินสมัยนั้นมีค่ากว่าสมัยนี้ ผมมีเงินพันกว่าบาท ก้อนแรกในชีวิต มาฝากพ่อกับแม่ รวมทั้งประสบการณ์สยอง ที่มันยังไม่เคยลืมเลือนไปจากความทรงจำของผม นับตั้งแต่วันนั้น มาจนถึงวันนี้   และเป็นปริศนา มาจนทุกวันนี้ว่าใครเป็นผู้ที่สามารถเขย่าเรือน12ต้นได้ขนาดนั้น ฤาจะเป็นผู้หญิงคนนั้น....
  
  
         นี่แหละครับ คือประสบการณ์ขนหัวลุกที่ผมเคยประสบ เลยมาเล่าสู่กันฟัง อ่าน เรื่องราวของผมแล้ว ใครมีประสบการณ์คล้ายๆ แบบเดียวกับผม ลองเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ 

 

ผมพยายามมาคิดในแง่ของวิทยาศาสตร์ ว่าการที่บ้านทั้งหลังสั่น อาจเกิดจากแรงผ่นดินไหวก้ได้  แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นเธอเป็นใคร  และก็ยังมีหัวข้อที่น่าสงสัยหลายอย่างในเหตุการณ์นี้ที่ยังหาคำตอบชัดเจนไม่ได้อยู่หลายประเด็น

หมายเลขบันทึก: 425187เขียนเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2011 09:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 03:18 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ขอให้อ่านให้สนุกนะครับ ตั้งใจเขียนเชิงเรื่องเล่าแบบวรรณกรรม

เพื่อให้มันดูสนุกนะครับ ไม่รู้ว่าจะได้เรื่องหรือเปล่าน้อ

 

ฝากเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านช่วยวิจารณ์ด้วยครับ

 

สวัสดีค่ะคุณPeter p

  • คุณยายมาเป็นกำลังใจให้ค่ะ เขียนได้ดีแล้วค่ะ

ขอบคุณครับคุณยายที่แวะมาอ่านครับ

อาจจะเป็นอาถรรพ์ของเจ้าป่า แต่ที่เห็นผู้หญิงแก่วัย สี่สิบนั้น อาจเป็นการตืนของเจ้าที่ที่หวังแีกับเรา ออ ก่อนจ่ะเอาของป่าให้ขอเจ้าที่เจ้าทางเสียก่อนน่ะ เรื่องร้ายๆจ่ะได้ไม่เกิดขึ้นน่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท