เรียบเรียงโดย เฉลิมลาภ ทองอาจ
การอ่านจับใจความ เป็นความสามารถในการอ่านขั้นพื้นฐาน มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับข้อความหรือเรื่องราวที่อ่านว่าเกี่ยวกับสิ่งใด มีจุดประสงค์เพื่อจะเสนอความคิดเรื่องใด มีเหตุการณ์ที่สำคัญอะไรบ้าง มีบุคคลหรือตัวละครใดบ้างที่เกี่ยวข้อง บุคคลหรือตัวละครเหล่านั้นแสดงพฤติกรรมอย่างไรและได้รับผลอย่างไร การพัฒนาความสามารถในการอ่าน จับใจความจึงมีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากในชีวิตประจำวัน นักเรียนจะต้องใช้การอ่านเพื่อรับข้อมูลต่างๆ จำนวนมาก เช่น การอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ การอ่านประกาศของโรงเรียน การอ่านหนังสือและตำราเรียนต่างๆ เป็นต้น ดังนั้น หากนักเรียนไม่สามารถจับใจความหรือเข้าใจเรื่อง ที่อ่าน นักเรียนก็จะไม่มีข้อมูลสำหรับนำไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาหรือปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
หลักการอ่านจับใจความ
นักวิชาการด้านการอ่านได้เสนอหลักการอ่านจับใจความ ซึ่งนักเรียนสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านจับใจความและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านได้ ดังนี้
๑. ควรขยายฐานประสบการณ์ของตนเอง ผู้ที่สามารถอ่านจับใจความได้ดี จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีพื้นความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ดีพอสมควร เนื่องจากข้อมูลที่อ่านมีหลากหลายประเภท เช่น ข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา วรรณคดี เป็นต้น สาเหตุที่ทำให้นักเรียนอ่านเรื่องเหล่านี้แล้วไม่เข้าใจเป็นเพราะนักเรียนไม่มีพื้นความรู้เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเพียงพอ ที่สำคัญคือขาดการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม นักเรียนสามารถแก้ปัญหาเรื่องการขาดประสบการณ์ได้ด้วยการเปิดรับข้อมูลข่าวสารจากสื่อต่างๆ อาทิ การอ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสาร กระดานสนทนา บล็อก Hi5 การชมรายการข่าวทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น
๒. ควรสร้างแรงจูงใจและความสนใจในการอ่าน การสร้างแรงจูงใจสามารถกระทำได้โดย การอ่านเรื่องอย่างคร่าวๆ การตั้งคำถามนำถามตนเอง เช่น เรื่องที่อ่านมีเนื้อหากล่าวถึงสิ่งใด มีบุคคลหรือตัวละครใดเกี่ยวข้องบ้าง เหตุการณ์ที่สำคัญในเรื่องคืออะไร เกิดขึ้น ที่ไหน เวลาใด และเหตุการณ์ใดเป็นเหตุเป็นผลกัน เป็นต้น ขณะที่อ่านเรื่อง นักเรียนควรพยายามตอบคำถามเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้นักเรียนรวบรวมข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องได้อย่างครบถ้วน ส่วนการสร้างความสนใจในการอ่าน นักเรียนสามารถกระทำได้โดยการสนทนาหรืออภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดสำคัญของเรื่องกับเพื่อนร่วมชั้น ครู หรือผู้ที่อ่านเรื่องเดียวกัน เป็นต้น ซึ่งหากนักเรียนสนใจเรื่องที่อ่านมากเพียงใด นักเรียนก็จะสามารถจับใจความและเข้าใจเรื่องที่อ่านได้มากขึ้นเพียงนั้น
๓. ควรสังเกตและพิจารณาโครงสร้างของย่อหน้า การเขียนข้อความเป็นย่อหน้า ผู้เขียนที่ดีจะต้องเข้าใจกลวิธีการสร้างและเรียบเรียงย่อหน้าให้ชัดเจน ซึ่งย่อหน้าแต่ละย่อหน้าจะมีใจความสำคัญเพียงใจความเดียว ดังนั้น วิธีการที่นิยมที่สุดในการสร้างย่อหน้าคือการวางประโยคที่กล่าวถึงใจความสำคัญไว้เป็นประโยคแรก นักเรียนจึงต้องสังเกตประโยคแรกของย่อหน้าทุกครั้งที่อ่านจับใจความ เพราะเมื่อนำใจความของทุกประโยคในแต่ละย่อหน้ามาสัมพันธ์กัน นักเรียนก็จะสามารถจับใจความของทั้งเรื่องได้อย่างครบถ้วน
๔. ควรพิจารณาโครงสร้างการเขียนแสดงเหตุผล นักเรียนควรพิจารณาข้อความหรือเรื่องที่อ่านว่า ผู้เขียนมีวิธีสัมพันธ์แต่ละย่อหน้าเข้าไว้ด้วยกันอย่างไร วิธีการสัมพันธ์ย่อหน้าที่สำคัญ ได้แก่ การอุปนัย หมายถึง การกล่าวถึงข้อมูลตัวอย่างหรือรายละเอียดต่างๆ ก่อน แล้วจึงสรุปเป็นหลักการ แนวคิด หรือข้อค้นพบ และการนิรนัย หมายถึง การกล่าวถึงหลักการ แนวคิดหรือข้อค้นพบก่อน แล้วจึงแสดงหรืออธิบายตัวอย่างหรือรายละเอียดต่างๆ โครงสร้างการแสดงเหตุผลทั้งสองวิธีนี้มีผลต่อการอ่านจับใจความ กล่าวคือ ข้อความที่โครงสร้างแบบอุปนัย ใจความสำคัญจะอยู่ตอนท้ายของข้อความ ส่วนข้อความที่มีโครงสร้างแบบนิรนัย ใจความสำคัญจะอยู่ต้นข้อความ นักเรียนควรพิจารณาโครงสร้างการแสดงเหตุผลดังกล่าว เพื่อให้สามารถจับใจความได้อย่างแม่นยำ ถูกต้องและเป็นพื้นฐานของการอ่านอย่างมีวิจารญาณต่อไป
๕. ควรคาดการณ์หรือทำนายความคิดของผู้เขียน นักเรียนควรคาดการณ์หรือทำนายความคิดของผู้เขียนด้วยการตั้งคำถามเบื้องต้นเพื่อทำความเข้าใจเรื่องที่อ่าน ตัวอย่างคำถาม ที่สำคัญ ได้แก่ ผู้เขียนต้องการเสนอเรื่องใด ผู้เขียนมีเจตนา วัตถุประสงค์และความรู้สึกอย่างไรต่อการเขียนข้อความดังกล่าว ผู้เขียนต้องการให้เกิดสิ่งใดต่อไปจากข้อเขียนของตนเอง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้อาจมิได้ปรากฏในข้อเขียนโดยตรง แต่นักเรียนจะต้องสังเกตการณ์ใช้ถ้อยคำ สำนวนภาษาและน้ำเสียงของผู้เขียน การคาดการณ์และทำนายความคิดของผู้เขียน นอกจากจะทำให้จับบใจความได้แล้ว ยังทำให้นักเรียนเข้าใจความคิดเบื้องหลังของผู้เขียนอีกด้วย
๖. ควรสังเกตข้อมูลที่เป็นตัวบ่งชี้ใจความสำคัญ นักเรียนควรสังเกตและจดจำข้อมูลที่เป็นตัวบ่งชี้ใจความสำคัญ ซึ่งได้แก่ รูปภาพ แผนภาพ แผนภูมิ หัวข้อหลัก หัวข้อรอง ที่ปรากฏในเรื่องที่อ่าน เนื่องจากตัวบ่งชี้เหล่านี้จะแสดงเนื้อหาหรือข้อมูลที่สำคัญของเรื่อง และทำให้นักเรียนเข้าใจภาพรวมของเรื่องที่อ่านได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
๗. ควรใช้เทคนิคสร้างความเข้าใจและการจำ หากข้อมูลหรือเรื่องที่อ่านมี ขนาดยาว การใช้เทคนิคสร้างความเจ้าใจและการจำ จะช่วยให้นักเรียนจับใจความสำคัญของเรื่องได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น เทคนิคที่นักเรียนสามารถนำมาใช้ ได้แก่ การจดบันทึกสรุป การวาดแผนภาพหรือแผนผังสรุป การทำเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ลงบนข้อความ เป็นต้น ตัวอย่างแผนผังที่นักเรียนสามารถวาดเพื่อสรุปใจความสำคัญเรื่องที่อ่าน เช่น ๑) แผนผังก้างปลา ๒) แผนผังต้นไม้ ๓) แผนผังลำดับเหตุการณ์ ๔) แผนผัง ๕ คำถาม (๕ W’s) ๕) แผนผังโครงเรื่อง
๘. ควรพิจารณาและจดจำความหมายของคำศัพท์ที่สำคัญในเรื่อง เนื่องจากนักวิจัยด้านการอ่านพบว่าปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสามารถในการอ่านจับใจความหรือการเข้าใจเรื่องที่อ่านคือความเข้าใจคำศัพท์ของผู้อ่าน ดังนั้นนักเรียนจึงควรพัฒนาความเข้าใจคำศัพท์ด้วยการศึกษาความหมายของคำศัพท์ที่ปรากฏในเรื่องจากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพจนานุกรมฉบับดังกล่าวมีขนาดไม่เหมาะแก่ การพกพา ดังนั้น นักเรียนจึงควรจัดหาพจนานุกรมนักเรียน ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นโดยบุคคลและสำนักพิมพ์ต่างๆ เพื่อให้สามารถค้นความหมายของคำศัพท์ได้ทันทีที่ต้องการ หรือค้นหาความหมายของคำศัพท์จากเว็บไซต์ http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp ซึ่งเป็นเวบไซต์ของราชบัณฑิตยสถาน
๙. ควรอ่านทบทวนใจความสำคัญของเรื่องอย่างสม่ำเสมอ นักเรียนควรทบทวนใจความสำคัญของเรื่องที่อ่าน หากระลึกถึงเรื่องที่เคยอ่านแล้วเกิดภาวะลืมหรือจำไม่ได้ การทบทวนอย่างสม่ำเสมอจะทำให้นักเรียนจดจำเรื่องที่อ่านได้คงทนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การทบทวนในที่นี้ มิได้หมายถึงการอ่านใหม่ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่ให้นักเรียนทบทวนประเด็นหรืออใจความที่ได้บันทึก ทำสัญลักษณ์ เครื่องหมายหรือวาดเป็นแผนภาพ แผนผัง ไว้แล้วไตร่ตรองว่าสัญลักษณ์หรือแผนผังเหล่านั้นสื่ออะไร มีความหมายว่าอย่างไร การจดจำสัญลักษณ์หรือภาพเหล่านี้จะทำให้นักเรียนระลึกข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น
มีสาระเยอะดี
เป็นประโยชน์มากๆค่ะ