มาร่วมสร้างประชาคมการสอนภาษาไทย ให้มีหลักการ
มีทฤษฎีและมีชีิวิต
เฉลิมลาภ ทองอาจ[*]
จุดอ่อนอย่างหนึ่งที่ำทำให้การวิจัยด้านศาสตร์การสอนภาษาไทยดูจะไม่ก้าวหน้าอย่างที่ควรจะเป็น ก็ืคือ ความขาดแคลนระบบของการบริหารการวิจัยในสถาบันการศึกษา จะได้เห็นได้ชัดว่า หน่วยงานในโรงเรียน หรือในระดับเขตพื้นที่การศึีกษาที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยนั้น แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกัีบเรื่องการวิัจัยอยู่มาก แต่ระบบของการสนับสนุนและการบริหารการวิจัยของหน่วยงานหรือเขตฯ ยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร ความจริงที่พบคือ ครูจะต้องหาผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำปรึกษาด้านการวิจัยด้วยตนเอง การกำกับและติดตามผลการวิจัย ล้วนแต่เป็นไปตามยถากรรม ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่ควรกำลังจะเกิดขึ้นในประเทศที่กล้าประกาศว่าจะจัดการศึกษาให้เป็นมาตรฐานสากล บทความนี้ึจึงนำเสนอภารกิจเกี่ยวกับการบริหารการวิจัย ซึ่งหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตพื้นที่การศึกษาของชาติ ควรให้ความสำคัญและถือเป็นหน้าที่่ของฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพราะการวิจัยเท่านั้น ที่จะพัฒนาการศึกษาของชาติได้ และแท้จริงแล้ว การวิจัยมิใช่การสร้างงานใหม่ แต่คือความพยายามอย่างบริสุทธ์ใจที่จะแก้ปัญหาผู้เรียนที่เกิดขึ้นในการเรียนการสอนทุกวัน ซึ่งหากเราสามารถปรับความเข้าใจของครูภาษาไทย เชื่อได้ว่า การเรียนการสอนภาษาไทยก็จะเกิดคุณภาพอย่างแท้จริงได้
ภาระงานที่สำคัญที่สุด ที่หน่วยงานทั้งในระดับโรงเรียนและในระดับเขตพื้นที่การศึุกษาจะต้องถือเป็นพันธกิจในการพัฒนาครูและคุณภาพการศึกษาก็คือ การสนับสนุนให้เกิดการวิจัย และอำนวยความสะดวกให้การวิจัยสามารถดำเนินการไปได้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ หรือที่เรียกว่า “การบริหารงานวิจัย” (research management) แม้ว่านักวิจัยจะมีความรู้ความสามารถในวิธีวิทยาการวิจัยมากเพียงใดก็ตาม แต่หากไม่มีหน่วยสนับสนุน เช่น การให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ ด้านทรัพยากร ด้านการเผยแพร่ หรือการขึ้นทะเบียนลิขสิทธิ์ทางปัญญาแล้ว การวิจัยย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะในปัจจุบันนี้ การวิจัยมีความซับซ้อนและไม่อาจใช้แต่เพียงกำลังของนักวิจัยเพียงฝ่ายเดียว สำหรับหน่วยงานที่ต้องสร้างงานวิจัยจำนวนมาก เช่น สถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ซึ่งมีพันธกิจเกี่ยวกับการวิจัยโดยตรง จะมีหน่วยงานเช่นสถาบันวิจัยหรือหน่วยบริหารการวิจัยทั้งในระดับคณะ หรือในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งจะมีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการบริหารและจัดการระบบ งานวิจัยทั้งหมดของสถาบัน ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการบริหารงานวิจัย ทั้งในด้านความหมายของการบริหารการวิจัย ความจำเป็นที่จะต้องมีการบริหารการวิจัย ขอบเขตหรือภาระกิจการบริหารการวิจัย ซึ่งมีรายละเอียดในแต่ละประเด็นดังนี้
1. ความหมายของการบริหารงานวิจัย
คำว่าการบริหาร (management) หมายถึง การดำเนินการใดๆ เพื่อให้ระบบที่ดำเนินการอยู่นั้น สามารถให้ผลอันเป็นเป้าหมายของระบบ หรือบรรลุซึ่งวัตถุประสงค์ของระบบนั้น ด้วยเหตุนี้ การบริหารการวิจัยจึงหมายถึง การดำเนินการต่างๆ เพื่อให้การวิจัยสามารถดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยได้ อย่างไรก็ตาม ความหมายของการบริหารการวิจัยได้ขยายขอบเขตที่กว้างขึ้น กล่าวคือ หมายรวมถึงการดำเนินการต่างๆ เพื่อให้มีการผลิตหรือสร้างสรรค์การวิจัย การวางแผนการวิจัย การติดตามและควบคุมดูแลการวิจัยให้ดำเนินไปตามแผน การเผยแพร่และใช้ผลงานวิจัย ดังที่ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ (2550: online) ได้กำหนดความหมายของการบริหารการวิจัยไว้ว่า การบริหารการวิจัย หมายถึง การจัดการงานวิจัยให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เช่น การพิจารณาข้อเสนอการวิจัย การติดตามประเมินผล การประชุมสัมมนาหรือฝึกอบรมที่เกี่ยวกับการวิจัย การพัฒนาระบบสารสนเทศการวิจัย การเผยแพร่ผลงานวิจัยและกิจกรรม อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
2. ความจำเป็นที่จะต้องมีการบริหารการวิจัย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องมีการบริหารการวิจัยนั้น เนื่องจากการขยายตัวของการสนับสนุนให้มีการวิจัย ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเภท หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ได้สนับสนุนให้หน่วยงานหรือนักวิจัยผลิตงานวิจัยเพื่อรอบรับกับการพัฒนา ทั้งที่เป็นการวิจัยในระดับนโยบาย รวมถึงการวิจัยเพื่อพัฒนาหรือสร้างนวัตกรรมต่างๆ เมื่อความต้องการในการใช้ผลวิจัยอยู่ในระดับสูง ย่อมเป็นเหตุให้หน่วยงานต่างๆ จำเป็นจะต้องขับเคลื่อนให้มีการวิจัยมากยิ่งขึ้นไปด้วย และเมื่อการวิจัยมีจำนวนมาก และนักวิจัยรุ่นใหม่ก็เกิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นที่หน่วยงานด้านการวิจัย จะต้องมีระบบสำหรับบริหารและจัดการให้การวิจัยในสามารถเกิดขึ้นและดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังจะสังเกตได้จากมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีพันธกิจหลักในการผลิตและสร้างผลงานวิจัยเพื่อพัฒนาในด้านต่างๆ ได้จัดตั้งฝ่ายวิจัยหรือสถาบันวิจัย เพื่อทำหน้าที่หลักโดยตรงในการจัดการกับ การวิจัยที่จะเกิดขึ้นในสถาบัน ซึ่งฝ่ายวิจัยหรือสถาบันเหล่านี้ จะมีคณะกรรมการฝ่ายวิจัยหรือคณะกรรมการบริหารงานวิจัย เป็นผู้ควบคุมและบริหารงานวิจัยของสถาบันทั้งระบบ
ตัวอย่างหนึ่งของหน่วยงานที่ทำหน้าที่บริหารงานวิจัย คือ สำนักวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (2547: online) ซึ่งได้กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องมี การบริหารจัดการงานวิจัยขององค์กรตนเองไว้สรุปได้ว่า การบริหารงานวิจัยเป็นไปเพื่อส่งเสริมให้อาจารย์และบุคลากรในทุกหน่วยงานของมหาวิทยาลัย มีผลงานวิจัยตามเกณฑ์การประกันคุณภาพการศึกษา ซึ่งผลงานวิจัยจะเป็นตัวชี้วัดคุณภาพของการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาของสถาบัน และสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องมีการบริหารงานวิจัยสรุปได้ 5 ประเด็นปัญหา ดังนี้
1) ปัญหาการคิดริเริ่มในการทำวิจัย ปัญหานี้เกิดจากนักวิจัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาจารย์หรือบุคลากรรุ่นใหม่ ประสบปัญหาในการหาหัวข้อหรือประเด็นการวิจัย ซึ่งอาจจะเกิดจากการขาดความรู้และประสบการณ์ หน่วยงานบริหารการวิจัยจึงจะต้องจัดที่ปรึกษาวิจัยไว้สำหรับให้คณาจารย์และนักวิจัยได้ขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องของวิธีวิทยาการวิจัย สถิติการวิจัย เป็นต้น
2) ปัญหาการทำวิจัยไม่เสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด ปัญหานี้เกิดจากการที่ได้มีการอนุมัติให้มีการทำวิจัยไปแล้ว แต่เนื่องจากนักวิจัยไม่สามารถที่จะดำเนินการวิจัยได้ทันกับกำหนดเวลา หน่วยงานที่ทำหน้าที่บริหารงานวิจัยจึงจะต้องจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้งานวิจัยเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้การติดตามและประเมินผลเป็นระยะ ก่อนที่จะได้มีการอนุมัติทุนสนับสนุนการวิจัยในรอบต่อไป
3) ปัญหาการเขียนรายงานการวิจัย การเขียนรายงานผลการวิจัย เป็นปัญหาที่สำคัญสำหรับการเผยแพร่ผลงานวิจัย เพราะเป็นการแสดงคุณภาพของงานวิจัยในระดับอุดมศึกษา ซึ่งหน่วยงานบริหารการวิจัยจะต้องมีหน้าที่ในการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างทักษะการเขียนรายงานการวิจัย โดยจัดเป็นโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ
4) ปัญหาขาดการวิพากษ์เพื่อประเมินคุณภาพผลงานวิจัย ปัญหานี้เกิดจากการที่ผลงานวิจัยที่ได้ดำเนินการวิจัยเสร็จสิ้นตามกระบวนการแล้ว ไม่ได้รับการวิพากษ์จากผู้ทรงคุณวุฒิ จึงเป็นเหตุให้ผลการวิจัยที่จัดทำขึ้นขาดการประเมินคุณภาพงานวิจัยผลงานวิจัยจึงไม่ได้รับการยอมรับ และจะมีผลอย่างมากต่อการเผยแพร่ต่อไป ดังนั้นในการบริหารจัดการวิจัย จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานที่ทำหน้าที่บริหารการวิจัยจะต้องจัดให้มีการวิพากษ์หรือการตรวจสอบคุณภาพของการวิจัยนั้น โดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับสาขาของการวิจัย
5) ปัญหาการเผยแพร่งานวิจัย ปัญหานี้มักเกิดจากเมื่อดำเนินการวิจัยเสร็จแล้ว นักวิจัยมิได้เผยแพร่งานวิจัยด้วยการนำไปเสนอในที่ประชุมวิชาการ หรือมิได้เขียนบทความวิจัยเพื่อเผยแพร่ ด้วยเหตุนี้สาบันที่ทำหน้าที่บริหารการวิจัย มักจะมีการส่งเสริมทั้งในรูปแบบของการให้เงินสนับสนุนการเผยแพร่ผลงานวิจัย การจัดให้มีการประชุมวิชาการทั้งในระดับชาติและนานาชาติ เพื่อเป็นช่องทางหนึ่งให้นักวิจัยได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานวิจัย หรือการจัดพิมพ์วารสาร หรือการใช้พื้นที่เว็บไซต์ในการเผยแพร่ผลงานวิจัย เป็นต้น
ปัญหาต่างๆ ดังที่กล่าวมา ล้วนแต่ต้องอาศัยกลไกของการบริหารการวิจัยในการ เข้ามาดำเนินการทั้งสิ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ปัญหาดังกล่าวแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ได้แก่ ก่อนการวิจัย ขณะดำเนินการวิจัย และหลังจากที่ได้ดำเนินการวิจัยเสร็จสิ้นแล้ว ด้วยเหตุนี้ ขอบเขตหรือภาระงานของการบริหารการวิจัย จึงอาจแบ่งได้ตามระยะหรือขั้นตอนสำคัญในการวิจัยเป็น 3 ระยะได้แก่ 1) ระยะการบริหารก่อนการวิจัย 2) ระยะการบริหารระหว่างการวิจัย และ 3) ระยะการบริหารหลังการวิจัย ซึ่งในแต่ละระยะฝ่ายสนับสนุนจะต้องเข้าไปดำเนินการ เพื่อให้การวิจัยผ่านอุปสรรคและดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ โดยจะได้กล่าวถึงขอบเขตหรือภาระงานสำคัญในแต่ละระยะเป็นลำดับต่อไป
3. ขอบเขตหรือภาระกิจการบริหารการวิจัย
การบริหารจัดการกิจการวิจัยของหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชน มักจะดำเนินการในรูปของคณะกรรมการบริหารงานวิจัย ซึ่งจะได้รับการแต่งตั้งหรือสรรหาจากหน่วยงานนั้น เพื่อให้มีหน้าที่ในการบริหารและจัดการงานวิจัยของหน่วยงาน ตั้งแต่ระดับนโยบายไปกระทั่งถึงระดับของการปฏิบัติ ตัวอย่างของคณะกรรมการและภาระงาน เช่น คณะกรรมการบริหารงานวิจัยของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่ตั้งขึ้นตามระเบียบมหาวิทยาลัยว่าด้วยการบริหารงานวิจัย พ.ศ. 2547 มีอำนาจและหน้าที่ดังต่อไปนี้ (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2547: online)
1. ดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบาย แผนงาน มาตรการและกลยุทธ์ในการบริหารงานวิจัยและเงินอุดหนุนการวิจัย
2. กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนานักวิจัยในมหาวิทยาลัย ให้มีความสามารถและศักยภาพระดับสูง
3. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการเสนอโครงการเพื่อขอรับเงินอุดหนุนการวิจัย
4. พิจารณาคัดเลือกและกลั่นกรองข้อเสนอโครงการวิจัยของมหาวิทยาลัย
5. พิจารณาจัดสรรประเภทเงินอุดหนุนวิจัยและจำนวนเงินที่สมควรได้รับ
6. คัดเลือกนักวิจัยที่มีผลงานดีเด่น หรือนักวิจัยในนามของมหาวิทยาลัย เพื่อรับรางวัลภายในหรือภายนอกมหาวิทยาลัย
7. พิจารณาการขออนุมัติเบิกเงิน ขอขยายเวลา การขออนุมัติ เปลี่ยนหัวหน้าโครงการวิจัย การขอจัดซื้อ จัดจ้าง การตีพิมพ์ หรือเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยทั้งหมด
8. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารงานวิจัย
9. ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ทางปัญญาและการวิจัยมอบหมาย
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริหารการวิจัยจะต้องมีหน้าที่ในจัดทำและออกประกาศมหาวิทยาลัย ว่าด้วยคุณสมบัติของผู้รับเงินอุดหนุนวิจัย หลักเกณฑ์การจ่ายเงินอุดหนุนวิจัย หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติการเสนอโครงการเพื่อขอรับเงินอุดหนุนวิจัย หน้าที่ของผู้ขอรับเงินอุดหนุนวิจัย วิธีการรับและการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนวิจัย วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดซื้อวัสดุหรือครุภัณฑ์ด้วยเงินอุดหนุนวิจัย การเผยแพร่วิจัยข้อมูลหรือข่าวสารอันเกี่ยวกับผลงานของโครงการในการลงพิมพ์ หรือสื่ออื่นๆ
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาขอบเขตภาระงานด้านการบริหารการวิจัยและพันธกิจที่สำคัญแล้ว สามารถสรุปขอบเขตภาระงานการบริหารการวิจัยออกเป็น 3 ระยะ ซึ่งมีภาระงานสำคัญ สรุปได้ดังนี้
1. การบริหารการวิจัยก่อนการดำเนินการวิจัย ประกอบด้วย
1.1 การประกาศเชิญชวนให้ทำวิจัย
1.2 การอบรมหรือการให้ความรู้เกี่ยวกับการวิจัย
1.3 การพิจารณาหัวข้อการวิจัยและโครงร่างการวิจัยโดยคณะกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิ
1.4 การให้ข้อเสนอแนะแก่โครงร่างการวิจัย
1.5 การประกาศอนุมัติหัวข้อวิจัยและการทำสัญญา
2. การบริหารการวิจัยระหว่างการดำเนินการวิจัย
2.1 การมอบเงินอุดหนุนการวิจัย
2.2 การกำกับ ดูแล ติดตามและประเมินการดำเนินการวิจัย
2.3 การวางแผนดำเนินการวิจัย
2.4 การจัดทำบัญชีและหลักการการใช้จ่ายเงินอุดหนุนการวิจัย
2.5 การให้คำปรึกษาหรือความช่วยเหลือในการดำเนินการวิจัย
3. การบริหารการวิจัยหลังการดำเนินการวิจัย
3.1 การนำเสนอผลงานวิจัยแก่คณะกรรมบริหารการวิจัย
3.2 การประเมินคุณภาพของรายงานวิจัย
3.3 การเผยแพร่ผลงานวิจัย
3.3.1 การประชุมทางวิชาการ
3.3.2 การตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการหรือเว็บไซต์
3.4 การจดสิทธิบัตร อนุสิทธิบัตร
3.5 การกำกับและนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์
โดยทั่วไป แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารการวิจัยมักจะมุ่งไปที่การบริหารงานในระดับหน่วยงานหรือองค์กร แต่แท้จริงแล้ว แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารการวิจัยส่วนบุคคลก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน นักวิจัยจะต้องมีความสามารถในการบริหารงานวิจัยของตนเอง อย่างน้อยก็คือ การทำวิจัยให้ถูกต้องตามหลักวิธีวิทยาการวิจัย และการใช้ระยะเวลาและทรัพยากรต่างๆ ตามที่กำหนดไว้อย่างคุ้มค่า และตรงกับที่ขอไว้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัยและหน่วยงานที่มอบหมายทุนวิจัย ทั้งนี้เพื่อยังประโยชน์จากผลการวิจัยแก่ทั้งสองฝ่าย และสังคมซึ่งเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการวิจัยมากที่สุด
____________________________________
รายการอ้างอิง
ตรวจบัญชีสหกรณ์, กรม. 2550. ระเบียบกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ว่าด้วยการใช้จ่ายเงิน อุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไปเพื่อการวิจัยและการบริหารงานวิจัย พ.ศ. 2550 [Online]. แหล่งที่มา: http://203.154.183.18/ewt/statistic/download/raw_res.pdf [4 กุมภาพันธ์ 2554]
ราชภัฏพระนคร, มหาวิทยาลัย. สำนักวิจัยและบริการวิชาการ. 2547. นโยบายการ บริหารงานวิจัย [Online]. แหล่งที่มา: servnet.pnru.ac.th/offi/research/html_or/or1.doc [4 กุมภาพันธ์ 2554]
ศรีนครินทรวิโรฒ, มหาวิทยาลัย. ระเบียบมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ว่าด้วย การบริหารงานวิจัย พ.ศ. 2547. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร.
ไม่มีความเห็น