เมืองพาราณสีเป็นแห่งต่อมาที่แม่ต้อยและคณะได้มีโอกาสไปเยี่ยมชม เราบินจากสนามบินที่คยาไปที่สนามบินกรุงพาราณสีซึ่งมีขนาดใหญ่และโอ่อ่ากว่าที่เมืองคยา เพราะว่า มีนักท่องเที่ยวมากมายที่ตั้งเป้าหมายว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องมาที่นี่ให้ได้เพื่อสัมผัสกับวัฒนธรรมที่ยืนยาวมามากกว่า ๓๐๐๐ ปี อีกทั้งยังเป็นแหล่งที่ผู้คนจะได้สัมผัสชีวิตจริง โดยไม่ต้องมีการปรับแต่ง นับว่าเป็นเมืองที่เปิดเผยตัวตนอย่างแท้จริง
เมืองพาราณสีจึงมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วโลกเชิญชวนให้ผู้คนอยากจะมาสัมผัส อย่างน้อยก็สักครั้งหนึ่งในชีวิต
สำหรับแม่ต้อยออกจะเกินธรรมดา เพราะว่าครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งที่๒ ที่ได้มา แม่ต้อยคิดเสมอว่า ความโบราณ ความเก่าแก่ ความหลากหลายและมีความมีเสน่ห์ของมิติจิตใจจะรวมอยู่ที่นี่ ทั้งสิ้น และก็ยังอยากจะมาอีก
เมื่อไปถึงสนามบินพาราณสีแม่ต้อยได้พบกับทีมคุณหมอชาญชัย และน้องๆจากรพ.ยางตลาด ที่เป็นอาสาสมัครไปเป็นหน่วยแพทย์ที่เมืองกุสินารา เราก็ทักทายกันด้วยความดีใจ ทั้งๆที่รู้ล่วงหน้าตั้งแต่อยู่ที่เมืองไทยแล้ว
แม่ต้อยบอกน้องๆทีมแพทย์ว่าเราจะไปเจอกันที่กุสินารานะ แล้วเราก็รีบแยกย้ายกันไป
คราวนี้พระวิทยากรที่มาให้สาระและความรู้กับพวกเราชื่อท่านพระครูปริยัติโพธิวิเทศหรือดร.พระมหาคมสรณ์ ที่มีความรู้เรื่องอินเดียและเรื่องศาสนาอย่างแตกฉาน ท่านอยู่ที่อินเดียนานถึง ๑๘ ปี
พระอาจารย์วิทยากรพูดเมื่อเรามาถึงในวันแรกว่า
คนที่มาอินเดียนี่จะมีอยู่ ๒แบบ แบบแรกคือมาแล้วก็จะบอกว่าข้าพเจ้าจะไม่มาอีก แต่แบบทีสองคือ มาแล้วก็รู้ว่าลำบากแต่อยากมาอีก คนกลุ่มหลังนี่น่าจะแปลกๆ
แฮ่ๆๆ แม่ต้อยคงอยู่ในกลุ่มที่ ๒ นั่นแหละคะ พระอาจารย์
แม่ต้อย เคยได้อ่านบทความจากหนังสือบับหนึ่งมีผู้เขียนไว้ว่า “อินเดียเป็นดินแดนที่อยู่กันอย่างง่ายๆ แต่มีความคิดอ่านสูงส่ง และมีคนแปลไว้อย่างน่าฟังอีกว่า
” เป็นอยู่ง่ายแต่ใคร่ครวญสูง”
ดร.มหาคมสรณ์บอกกับกลุ่มเราว่า การมาที่พาราณสีคือการมารับรู้ ความเป็นจริงของชีวิต ตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บและตาย เพื่อทดสอบบารมีของตนเอง เพราะมีแต่ความทุกข์ให้เห็น และเป็นเมืองที่พูดถึงความตายอย่างเป็นมงคล
ในทุกๆรุ่งอรุณยามเช้า ทุกๆชีวิตมากมายจากสถานที่ต่างๆของอินเดียจะหลั่งไหลไปที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เพื่อชำระล้างร่างกายด้วยน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ จากสรวงสวรรรค์ ไม่สนใจใยดีกับน้ำเสียจากการอาบน้ำ หรือซักล้าง รวมทั้งเถ้าถ่านการการเผาศพที่ริมฝั่งน้ำตามประเพณีและความเชื่อมานานนับพันปี
เสียงสวดมนตร์พึมพัมจากบรรดา นักบวช และโยคี การดัดตน หรือการทำโยคะ ต้อนรับสุริยเทพที่กำลังมาเยือนยามรุ่งอรุณ ภาพชีวิตเช่นนี้จึงยากนักที่เราจะได้เห็นจากเมืองอื่นๆ
เราตื่นนอนประมาณ ตี๕ เพื่อให้ทันได้เห็นบรรยากาศดังกล่าว เมื่อรถจอดริมฝั่งแม่น้ำคงคา แม่ต้อยค่อยๆเดินอย่างระมัดระวัง เนื่องจากทางเดินจะมีทั้งขยะ ขี้วัว น้ำหมาก อยู่ทั่วไป
ที่ริมแม่น้ำคงคาจะมีจุดอาบน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นขั้นบันไดทอดยาวลงสู่แม่น้ำ ที่นี่เป็นศูนย์รวมของความเชื่อ ความศักสิทธ์ และความมั่นคงทางจิตใจมานานนับพันปี
สตรีแต่งกายด้วยส่าหรีหลากสีเดินจูงลูกหลานมาที่ท่าน้ำด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข
ปิติและอิ่มเอิบ มีขวดน้ำเล็กๆสำหรับบรรจุน้ำให้คนที่ไม่มีโอกาสได้มาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้
ร้านค้าเล็กๆก่อนทางเดินลงท่าน้ำมีสินค้าประเภทขวด แกลลอนไว้บริการสำหรับลูกค้าด้วย
อากาศยามเช้าสดชื่น ลมพัดเย็นๆ อุณหภูมิตอนที่ แม่ต้อยไปค่อนข้างเย็นมาก พวกเราจึงเตรียมเครื่องกันหนาวแบบเต็มพิกัด
เรือเล็กๆ เตรียมไว้สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะแล่นไปตามแม่น้ำอันศักดิ์สิทธ์แห่งนี้เพื่อได้มีโอกาสลอยกระทง ขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกจากร่างกาย หรือชีวิต และเพื่อได้สัมผัสพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ตลอดสายน้ำแห่งนี้
แม่ต้อย จึงได้มีโอกาสลอยกระทงน่ารัก ในขณะที่สุริยเทพกำลังโผล่มาจากฟากฟ้าอีกครั้งหนึ่ง
ชีวิตริมฝั่งแม่น้ำคงคา เราจึงได้เห็น ความเป็นจริงของชีวิต ตั้งแต่เด็กเล็กๆ เพื่อมาขอพร คนในวัยทำงาน คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย และสุดท้ายคนตาย ที่ได้ตั้งความปราถนาไว้ว่า เมื่อตายไป ร่างอันไร้วิญญาณจะต้องได้รับการทำพิธีเผาและทำพิธี ณ แห่งนี้ เป็นความปราถนาอย่างแรงกล้าสุดท้ายของชีวิต
ภาพของเด็กๆที่อาบน้ำอย่างสนุกสนาน ภาพหญิงสาวนุ่งห่มส่าหรีที่วักน้ำลูบตัวลูบหัวอย่างปิติ เชื่อว่าการได้บูชาสุริยเทพ และสักการะพระแม่คงคา เป็นเหมือนดังน้ำอมฤต และเป็นมงคลต่อชีวิต ภาพคนที่ซักผ้าโดยการฟาดกับขอนไม้หรือกับหิน และภาพการทำพิธีเผาศพ ทอดผ่านสายตาราวกับภาพเคลื่อนไหวของชีวิต
โรงแรม”มรณังโฮเต็ล” ที่จัดบริการสำหรับญาติที่ต้องการความสะดวกสำหรับผู้ที่ใกล้จะวายชนม์ อยุ่ใกล้ๆกับริมฝั่งน้ำ ไฟที่จัดสำหรับทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่เคยดับ นับเป็นพันๆปี
เมื่อเราลอยเรือเข้าไปใกล้ๆพิธีเผาศพ พระวิทยากรได้นำพวกเราสวดให้กับผู้ตาย ให้ระลึกถึงความเป็นจริงของชีวิต
นกนางนวลฝูงใหญ่บินฉวัดเฉวียน โฉบกิน ปลา เศษอาหาร ที่ลอยในสายน้ำแห่งนี้ พ่อค้า แม่ค้า พายเรือลำเล็กมาล้อมรอบเรือของพวกเรา เพื่อเสนอขายสินค้านานาชนิด เช่น ลูกปัด สร้อย ของที่ระลึก บางลำไปจับปลามาขายให้เราปล่อยเพื่อเป้นการทำบุญก็มี
ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำคงคานี้เชื่อว่าเป็นฝั่งสวรรค์เป็นที่ตั้งของตัวเรือน และตัวเมือง พิธีกรรมต่างๆทำที่ฝั่งนี้ ส่วนฝั่งตรงข้ามจะไม่มีบ้านเรือนผู้คนอาศัยอยุ่เลย
คนอินเดียหรือผู้ที่นับถือ ฮินดู มีความเชื่อว่า การที่ได้มาตายที่พาราณสี คือความดีเลิศ เป็นสิ่งประเสริฐ และเป็นความหวังของทุกชีวิต ที่จะได้มีโอกาสทำชีวิตนั้นให้บริสุทธิ์ด้วยเปลวไฟช่วยชำระล้างมลทิน และบาปที่ติดตัวมา
การทำพิธีทำอย่างเปิดเผย เพียงแต่ห้ามนักท่องเที่ยวถ่ายภาพเท่านั้น มีข้อยกเว้นสำหรับเด็กและหญิงมีครรภ์ ที่เชื่อว่าไม่ต้องทำให้บริสุทธิ์ด้วยเปลวไฟก่อน เพียงแต่นำร่างกายที่ละสังขารแล้ว ไปห่อผ้า บรรจุหินแล้วลอยในแม่น้ำไปเลย...
แม่ต้อยจึงคิดว่า เมืองพาราณสีนี้ เป็นเมืองที่เสริมพลัง ด้านจิตใจและความเชื่อให้กับผู้คนอย่างแน่นหนา ถ่ายทอดกันมาหลายร้อยหลายพันปี จนเรามีโอกาสได้สัมผัส ชีวิตจริง ไม่มีการปรับแต่ง ไม่มีการปิดบัง
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากความเชื่อ และความศรัทธาล้วนๆ ยากที่คนอื่นๆจะเข้าใจได้
เป็นเรื่องเก่าแก่จริงๆ
นมัสเต
สวัสดีคะ
น่าไปเยี่ยมยามบ้างครับ ท่านแม่พี่ต้อย
เรียนแม่ต้อยที่นับถือ
อ่านและชมภาพแล้ว ยิ่งอยากไปเที่ยวอินเดียจังค่ะ
2 ปี 4 เดือนแห่งการศึกษา ณที่แห่งนั้น ได้ข้อสรุปว่า
อินเดียมหานครแห่งที่สุด
หนาวก็หนาวตาย
ร้อนก็ร้อนตาย
จนก็จนที่สุด
รวยก็รวยที่สุด
สวยหล่อก็สวยหล่อที่สุด
ขี้เหร่ก็ขี้เหร่ที่สุด.......................
ถ้าจะไป สงสัยต้องกราบเรียนเชิญแม่ต้อยเป็น guide กิติมศักดิ์แล้ว บันทึกได้มาละเอียดจริงๆ