แด่ครูผู้สอนวิชชาธรรมกาย
วิชชาธรรมกาย ได้แก่การฝึกสมาธิให้เข้าถึงกายในกายตั้งแต่กายโลกีย์ อันได้แก่ กายมนุษย์หยาบ-กายฝัน(มนุษย์ละเอียด) กายทิพย์(ทั้งหยาบ-ละเอียด) กายพรหม(ทั้งหยาบ-ละเอียด) กายอรูปพรหม(ทั้งหยาบ-ละเอียด) และกายโลกุตตระ ได้แก่ กายธรรมโคตรภู(ทั้งหยาบ-ละเอียด) กายธรรมพระโสดา(ทั้งหยาบ-ละเอียด) กายธรรมพระสกิทาคามี(ทั้งหยาบ-ละเอียด) กายธรรมพระอนาคามี(ทั้งหยาบ-ละเอียด) กายธรรมพระอรหัต(ทั้งหยาบ-ละเอียด) รวม ๑๘ กาย ทั้งกายโลกีย์และกายโลกุตตระนี้เป็นสื่อเป็นเครื่องมือให้เข้าถึงส่วนแห่งวิชชา ๒ อย่าง คือ สมถะ และ วิปัสสนา เพราะกายในกายทั้ง ๑๘ กายมี “ตา” คือมี “ญาณทัสสนะ” ที่ละเอียดไปตามภูมิหรือคุณสมบัติของแต่ละกายในการเข้าไปรู้-เห็น ธรรมวิเศษของวิชชา ๒ คือในส่วนของ สมถะ-วิปัสสนานั่นเอง นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำไมเราต้องฝึกให้เห็นกายในกายทั้ง ๑๘ กายให้จงได้ก่อนที่จะเรียนปฏิบัติในระดับของสมถะและวิปัสสนานั่นเอง
เมื่อครู วิทยากร พระอาจารย์ หรือวิปัสสนาจารย์ ผู้สามารถฝึกสอนให้ผู้อื่นเข้าถึงกายในกายทั้ง ๑๘ กายได้ แปลว่า ท่านได้สร้างบารมียิ่งใหญ่และสำคัญ ท่านได้ทำหน้าที่เปิดทางมรรคผลแก่ผู้เข้าถึงกายในกายเหล่านั้น หลวงพ่อวัดปากน้ำกล่าวไว้ว่า ถ้าเราสอนให้เขาเห็นเพียงดวงใส(ดวงปฐมมรรค)เพียงอย่างเดียว ได้บุญมากกว่าบวชพระสงฆ์ ๑๐,๐๐๐ รูป ถ้าเราสอนให้เขาเดินวิชชา ๑๘ กายได้ ได้บุญมากกว่าบวชพระสงฆ์ ๔๐,๐๐๐ รูป แปลว่า การเห็นดวงปฐมมรรค และการเดินวิชชา ๑๘ กายได้นี้ เป็นบารมีเป็นบุญใหญ่ ได้ทั้งผู้ฝึกและผู้รับการฝึกทีเดียว การสอนให้ผู้อื่นเข้าถึงกายในกายได้ แปลว่า เรามีสิทธิเฉียบขาดทางวิชชา แปลว่าเราเรียนรู้ทางวิชชามาได้อย่างถูกธาตุถูกธรรมจริงๆ
ดังนั้นเราผู้เป็นวิทยากรจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องสอนให้ถูกหลักถูกเกณฑ์ ถูกวิธีการ ก็จะทำให้ผู้ฝึกเข้าถึงกายในกายได้ในที่สุด แต่ปัจจุบันนี้ เราอาจเคยได้พบเห็นครูสอนวิชชาธรรมกายบางท่าน สอนแบบหวานเย็น โดยกล่าวไปในทำนองว่า... “ให้ขยันนั่งสมาธิเป็นประจำแล้วจะเห็นธรรมกายเอง ไม่ต้องรีบร้อน ทำไปเรื่อยๆ ดีแล้ว ถูกแล้ว ผู้รู้ทั้งหลายเขาก็บอกเช่นนี้” คำกล่าวลักษณะนี้ ส่งผลเสียต่อค่านิยมที่ถูกต้องในการเรียนรู้ภาคปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง แปลว่า ผู้สอนไม่มีความรู้ตลอดจนเทคนิควิธีที่จะสอนให้ผู้ฝึกเห็นธรรมได้โดยง่ายแล้วนั่นเอง แทนที่จะแก้ไขที่เทคนิคการสอนของตน กลับไปสร้างค่านิยมให้ผู้คนวางใจให้ล่าช้าต่อการเข้าถึงธรรมกาย ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเมื่อจะสอนวิชชาเบื้องต้นก็ไปสอนให้ติดสุขบ้าง ให้ติดสร้างอุปาทานบ้าง แม้ไม่ตรงหลักวิชชาแต่ก็ไปกล่าวเอาเองว่าถูกหลักวิชชาแล้วบ้าง อย่างนี้คือสร้างความสับสนให้เกิดแก่ผู้เรียนเป็นอย่างมาก
สรุปง่ายๆ ก็คือ ครู วิทยากร พระอาจารย์หรือวิปัสสนาจารย์ไม่มีความรู้ในการสอนให้ผู้ฝึกเข้าถึงธรรมกายอย่างถูกต้องและง่ายดายนั่นเอง ซึ่งสวนทางกับยุคสมัยที่วิชชาเปิดแล้ว องค์ความรู้ทางวิชชาทั้งภาคปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธมีครบถ้วนแล้ว แต่อาจารย์สอนสมาธิวิชชาธรรมกายกลับไม่มีการพัฒนาเทคนิคขั้นตอนการสอนให้สอดคล้องกับยุคที่วิชชาเปิด ยุคที่ควรจะเข้าถึงวิชชาธรรมกายได้โดยง่าย ยุคที่ต้องเดินวิชชา ๑๘ กายได้โดยง่าย นั่นเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะหาครูอาจารย์ที่รู้จริงในการสอนให้ผู้ฝึกเข้าถึงธรรมกายไม่ได้แล้วนั่นเอง ทั้งๆ ที่เทคนิคที่ช่วยให้ผู้ฝึกเข้าถึงกายในกายได้ง่ายขึ้นก็มีอยู่ จะขอยกตัวอย่างกว้างๆ โปรดพิจารณาดังนี้
๑. วิทยากร ครู พระอาจารย์หรือวิปัสสนาจารย์ต้องสอนโดยเริ่มต้นให้ผู้ฝึกเดินใจตามฐานทางเดินของใจทั้ง ๗ ฐานก่อนเสมอ โดยเฉพาะผู้ฝึกใหม่ ถามว่าทำกันบ้างหรือเปล่า นำเดินใจตามฐานทางเดินของใจทั้ง ๗ ฐานได้หรือเปล่า
๒. ต้องมีการวัดผลในระหว่างการฝึกทุกครั้ง เพื่อต่อวิชชาให้แก่ผู้ทำดวงใส(ดวงปฐมมรรค)ได้แล้วนั่นเอง ถามว่ามีการวัดผลในขณะการฝึกบ้างหรือเปล่า การสอนเบื้องต้นเพียงไม่กี่นาทีก็วัดผลได้แล้ว ถ้าสอนอย่างถูกวิธี ไม่ต้องมานั่งกันเป็นชั่วโมงๆ หรือครึ่งค่อนวันแต่ก็ไม่มีการวัดผลในระหว่างการฝึกแต่ประการใด ถ้าไม่วัดผลเมื่อผู้ฝึกเขาเห็นดวงใสในท้องได้ เขาก็ทำอะไรไม่ถูก พอจบการฝึกเขาบอกพระอาจารย์ว่า เขาเห็นดวงใสในท้อง แทนที่พระอาจารย์จะต่อวิชชาให้เขาเห็นกายในกาย พระอาจารย์กลับตอบว่า “ดีแล้ว ถูกแล้ว รักษาไว้ อย่าให้หายนะ” แปลว่า พระอาจารย์ต่อวิชชาไม่ได้ ต่อวิชชาไม่เป็น อย่างนี้ก็จบกัน
๓. การต่อวิชชาควรทำในทันทีเมื่อเราวัดผลว่า “ขั้นตอนนี้ท่านใดทำดวงใสในท้องได้แล้ว โปรดยกมือขวาขึ้น” เมื่อมีคนยกมือเพราะเขาทำดวงใสในท้องได้ พระอาจารย์ต้องเข้าไปตรวจสอบแล้วจึงนำต่อวิชชาเดี๋ยวนั้นเลย การที่เรามีบุคลากรมาก มีเครื่องมือไฮเทคทันสมัย มีสถานที่กว้างขวาง แต่วัดผลและต่อวิชชาให้เขาไม่ได้ การเห็นดวงของเขาก็ถูกดองด้วยคำพูดที่สวยหรูว่า “ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว รักษาไว้ อย่าให้หายนะ” ก็แปลว่า ครูผู้สอนไม่เห็นคุณค่าของการฝึกให้ผู้รับการฝึกได้เข้าถึงกายในกาย แทนที่จะทำให้การเข้าถึงกายในกายง่ายขึ้นกลับไปดองเขาไว้ให้ล่าช้าต่อการเข้าถึงกรุวิชชา เป็นการไปต่อยอดเสริมความยากเข้าไปอีก แล้วก็ไปสร้างค่านิยมผิดๆ ว่า ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เห็นเอง “เมื่อเห็นดวง เห็นพระธรรมกาย ดีแล้ว ถูกแล้ว รักษาไว้ อย่าให้หายนะ” แล้วก็ต่อวิชชา ๑๘ กายให้เขาไม่ได้ การสอนเช่นนี้สวนทางกับนโยบายของธรรมภาคขาวที่ต้องการเปิดรู้เปิดญาณให้ผู้ฝึกเข้าถึงกายในกายและเดินวิชชา ๑๘ กายได้ทุกคน ก็เมื่อผู้ฝึกเขามีศรัทธาถึงขนาดนั่งสมาธิทุกวัน เมื่อเขาทำได้ในระดับหนึ่ง เช่น เห็นดวงใสในท้อง เราผู้เป็นครูสอนต้องเรียกเขาผู้นั้นมาต่อวิชชาให้เขาเข้าถึงกายในกาย จนกระทั่งได้ ๑๘ กาย และฝึกต่อเนื่องจนกว่าเขาจะเดินวิชชา ๑๘ กายได้เอง นี่คือหลักวิชชา นี่คือนโยบายของธาตุธรรมภาคขาว
๔. ต้องสนับสนุนให้ผู้สนใจอ่านตำราทางวิชชาธรรมกายทุกเล่ม ทุกหลักสูตร เพื่อให้เกิดปัญญาบารมี และต้องบอกไปด้วยว่าถึงอ่านยังไม่รู้เรื่องก็ควรอ่าน สงสัยก็ถามได้ เพราะตำราทางวิชชาธรรมกายเป็นปิฎกวิชชาที่ยากที่ผู้ใดจะได้เกิดมาพานพบ เพราะภาคมารเขาหวงแหนยิ่งนัก เกิดมาชาตินี้พบตำราความรู้แล้วต้องตักตวงให้อ่านเพื่อให้ความรู้ติดไปในดวงบารมี ในเห็น-จำ-คิด-รู้ ของเราตั้งแต่ในชาตินี้ให้จงได้
๕. ต้องฝึกวิทยากร ครูหรือวิปัสสนาจารย์สอนวิชชาธรรมกายได้ทุกหลักสูตร โดยเฉพาะหลักสูตรเบื้องต้น คือหลักสูตร ๑๘ กาย เรามีบุคลากรเป็นร้อยเป็นพันทั้งพระทั้งฆราวาส ถ้าเขาสามารถสอนได้อย่างน้อยสอนได้จนกระทั่งถึงหลักสูตรวิชชา ๑๘ กาย แล้วส่งไปสอนทั่วประเทศหรือทั่วโลก ไม่นานเลยก็จะมีผู้คนเห็นธรรมเข้าถึงกายในกายกันทั้งโลกได้ ที่แปลกก็คือ ไม่มีวิทยากรหรือพระอาจารย์สอนวิชชา ๑๘ กายได้ คือมีคนอยู่ในสำนักฝึกต่างๆ มาก แต่สอนไม่ได้ สอนไม่เป็น ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ทั้งๆ ที่หลักสูตรนี้ คือ หลักสูตรวิปัสสนาจารย์หลักสูตรสอนวิชชา ๑๘ กาย ทาง “ชมรมพัฒนาใจให้สว่างใส” เปิดรับสมัครให้มาฝึกหลักสูตรนี้มานานแล้ว ทำไมท่านไม่มาฝึกฝนไม่มาเรียนรู้ ทำไมจึงไม่เพิ่มพูนคุณค่าและความรู้ให้กับตนเองในฐานะที่เกิดมาพบวิชชาธรรมกายแล้ว บารมีสำคัญอยู่ตรงนี้ วิชชาความรู้นั้นสำคัญที่สุด บารมีใดๆ ก็ไม่เท่าการมีวิชชาครูสอนธรรมกายได้ติดตัวไปทุกภพทุกชาติ นี่คือวิถีทางของพระโพธิสัตว์หรือนักสร้างบารมีของธรรมภาคขาวที่แท้จริง นี่คือบารมีนิพพานกายมนุษย์ ดวงบารมีจะพัฒนาเป็น ธาตุชนะธรรมชนะ ธาตุเป็นธรรมเป็น ธาตุขาวธรรมขาว ธาตุใสธรรมใส ความรู้เท่านั้นที่จะทำลายความไม่รู้ลงได้ วิชชาเท่านั้นที่จะกำจัดอวิชชาได้ ทำไมเราไม่เรียนรู้กันเช่นนี้เล่า...???
ทุกวันนี้เราเรียนรู้วิชชาธรรมกายเพื่อสนองกิเลสตนเองหรือไม่...? ถามใจตัวเราเองก่อน คำว่าสนองกิเลสตัวเราเองก็คือ เรียนเพื่ออยากได้บุญมากๆ อยากรวยมากๆ อยากได้สวรรค์วิมานสวยหรู นั่นคือเรียนรู้แบบสนองกิเลสตนเอง สุดท้ายธรรมภาคกิเลสเขาก็เข้ามาสอดละเอียดในจิตใจของเรา แทนที่จะได้บารมีเพื่อกำจัดกิเลส แต่กลับกลายเป็นบารมีที่กิเลสเข้ามาปนเป็นเสียหมดสิ้น ทั้งนี้เป็นเพราะ เราไม่ให้ความสำคัญ ไม่ให้ความสนใจต่อหลักวิชชาธรรมกายที่ถูกต้อง นั่นก็คือ ต้องถือความรู้ทางวิชชาเป็นใหญ่ เราต้องเอาความรู้ทางวิชชาออกหน้า อย่าเอากิเลส อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากใหญ่ อยากเด่น อยากดังออกหน้าเป็นอันขาด
ครู วิทยากร พระอาจารย์หรือวิปัสสนาจารย์ต้องเป็นตัวจักรและฟันเฟืองที่สำคัญในการสอนให้ผู้ฝึกเข้าถึงธรรมกายได้โดยง่าย ด้วยหลักเทคนิควิธีการสอนที่ถูกต้อง ถ้าสอนให้เขาเข้าถึงดวงปฐมมรรคไม่ได้ หรือต่อวิชชาให้เขาเข้าถึงกายในกายไม่ได้ ท่านจะได้ชื่อว่ากระทำในสิ่งที่สวนกระแสยุคที่วิชชาเปิด ยุคที่ต้องสร้างบารมีนิพพานเป็นกายมนุษย์ ยุคที่ต้องเรียนรู้ตามหลักวิชชาโดยยึดตำราทางวิชชาเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าความรู้ของท่านที่มีอยู่ถูกตรงหรือไม่ ท่านจะทำงานให้พระพุทธเจ้าภาคขาวกล่าวคือเป็นผู้เปิดรู้เปิดญาณให้ผู้ฝึกเห็นธรรมกายได้โดยง่าย หรือท่านจะทำงานสวนทางนโยบายของธาตุธรรมภาคขาวนั่นคือไปเส้นทางการเข้าถึงกายในกายให้ยากยิ่งขึ้นเพราะไม่มีการวัดผลในขณะฝึก ไม่มีการต่อวิชชาให้ในขณะฝึก ไม่มีการฝึกวิชชา ๑๘ กายอย่างเปิดเผยชัดเจน ไม่มีการอ้างอิงการสอนให้ตรงตามตำราวิชชาธรรมกายทุกหลักสูตร ถ้ารูปการเป็นเช่นนี้ โปรดถามใจตนเองว่า ความเป็นครู เป็นวิทยากร เป็นพระอาจารย์หรือวิปัสสนาจารย์ของท่านนั้น....ท่านดำเนินการสร้างบารมีการสอนวิชชาธรรมกายตามหลักของพระพุทธเจ้าภาคขาวแล้วหรือ...????
สำหรับ “ชมรมพัฒนาใจให้สว่างใส” ได้เปิดหลักสูตรการฝึกเป็นวิปัสสนาจารย์สำหรับทุกท่าน ทุกเพศ ทุกวัย ให้ได้เรียนรู้วิชชาครูติดตัวไป และเป็นการสร้างบารมีพุทธภูมิไปในตัวด้วย การเรียนรู้แบ่งเป็น ๒ ส่วนใหญ่ๆ นั่นคือ
๑.ภาคปริยัติ
๒.ภาคปฏิบัติ
สำหรับในส่วนของการฝึกวิทยากรหรือวิปัสสนาจารย์ในภาคปริยัตินั้น ได้แก่ การฝึกท่องเนื้อวิชชาสำหรับใช้ในการสอน เนื้อวิชชามีดังนี้
หลักสูตรภาคปริยัติ
๑. ท่องเนื้อวิชชาการเดินใจไปตามฐานทางเดินของใจทั้ง ๗ ฐาน ให้ถูกต้องชัดเจน และเรียนรู้ถึงเทคนิคการบอกวิชชาให้เกิดสิทธิเฉียบขาดในการสอนด้วย เทคนิคการบอกวิชชาแบ่งเป็น ๒ ส่วนคือ
- ภาคอธิบายวิชชา
- ภาคสั่งวิชชา
๒. ท่องเนื้อวิชชาการต่อวิชชาเจาะดวงธรรมให้เกิดกายธรรมเบื้องต้น ท่านต้องเรียนรู้วิธีการต่อวิชชาและการแก้ไขปัญหาในการต่อวิชชาได้ด้วย
๓. ท่องเนื้อวิชชาหลักสูตร ๔ กายธรรม หรือวิชชาครึ่งหลักสูตร เพื่อให้ผู้ฝึกเดินลำดับฐาน-ลำดับดวง-ลำดับกาย และเข้ากลางของกลางคือจุดเล็กใสเท่าปลายเข็มกลางดวงธรรมได้
๔. ท่องเนื้อวิชชาหลักสูตรวิชชา ๑๘ กายทั้งอนุโลม-ปฏิโลม ต้องเรียนรู้เทคนิคการเดินกายในกายทั้ง ๑๘ กายให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ฝึก ว่าเดินวิชชาอย่างไรจึงจะทำให้กายในกายใสยิ่งขึ้น เรียนรู้เทคนิคการทำให้ใจหยุด-นิ่ง-แน่น ให้เห็นวิชชาชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย
๕. ท่องเนื้อวิชชาการเดินวิชชาเข้าหายกายธรรมต้นธาตุ ต้นธาตุคือหลวงพ่อวัดปากน้ำ กายธรรมของท่านอยู่ระหว่างนิพพานกับภพ ๓
๖. ท่องเนื้อวิชชาการเดินวิชชาเข้านิพพานเบื้องต้น เพื่อไปกราบมนัสการพระพุทธเจ้าในนิพพานได้
ทั้งหมดนี้เป็นเนื้อหาในภาคปริยัติ เมื่อท่องเนื้อวิชชาได้อย่างถูกต้องแม่นยำดีแล้ว ท่านจะต้องสอบท่องวิชชาให้ครูอาจารย์ฟัง เมื่อท่องได้ครบถ้วนถือว่า ท่านผ่านหลักสูตรสอบเป็นวิทยากรหรือวิปัสสนาจารย์ภาคทฤษฎีหรือภาคปริยัติแล้ว ต่อไปคือการลงสู่สนามฝึกจริงในขั้นภาคปฏิบัติ เมื่อสอบผ่านภาคปริยัติ ครูอาจารย์ก็คือ คุณลุงการุณย์ บุญมานุช ท่านจะมอบอุปกรณ์การสอนให้ ๓ อย่างด้วยกัน คือ
๑. แผนภูมิทางเดินของใจทั้ง ๗ ฐาน
๒.ดวงแก้วใส
๓. พระผงรุ่นต้นปราบ
ภาคปฏิบัติ
การฝึกภาคลงสนามเพื่อเป็นวิทยากรหรือวิปัสสนาจารย์ภาคปฏิบัตินั้น แบ่งหลักสูตรการเรียนรู้เป็น ๓ ระดับ ได้แก่
๑. วิทยากรตรี ทำหน้าที่ช่วยเหลืองานสอนทุกอย่างตามที่วิทยากรเอกสั่ง หน้าที่หลักคือ ต้องต่อวิชชาเจาะดวงธรรมให้เห็นกายธรรมหนึ่งกายให้แก่ผู้มารับการฝึกได้
๒. วิทยากรโท ทำหน้าที่ช่วยเหลืองานสอนทุกอย่างตามที่วิทยากรเอกสั่ง หน้าที่หลักคือ ต้องต่อวิชชา ๔ กายธรรมให้แก่ผู้มารับการฝึกได้
๓. วิทยากรเอก ทำหน้าที่วางแผนการสอน ประชุมก่อนสอนเพื่อแจกจ่ายงานให้วิทยากรอื่นๆ ทำหน้าที่สอนตั้งแต่ต้นจนจบการฝึก และทำหน้าที่ประชุมหลังสอนเพื่อแก้ไขปรับปรุงหรือสรุปผลงานการสอนในครั้งนั้นๆ แปลว่าอำนาจในการสอนทุกอย่างอยู่ที่วิทยากรเอก ถือว่าวิทยากรเอกมีสิทธิเฉียบขาดในการสอนครั้งนั้นๆ
วิทยากรท่านใดที่มีความสามารถเป็นวิทยากรเอกได้ แปลว่าท่านต้องเรียนรู้ผ่านหลักสูตรวิทยากรตรี และวิทยากรโทมาแล้ว ไม่เช่นนั้นท่านจะไม่รู้หน้าที่ของวิทยากรระดับต่างๆ ท่านจะแจกจ่ายงานไม่ถูก ท่านจะวางแผนการสอนไม่เป็น นี่คือการเรียนรู้อย่างเป็นระบบเป็นขั้นเป็นตอน ทุกคนสามารถเป็นวิทยากรเอกได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิทยากรรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่เป็นวิทยากรพี่เลี้ยงที่จะช่วยให้ท่านฝึกฝนจนกระทั่งสร้างบารมีถึงขั้นเข้าสู่การเป็นวิทยากรเอกได้ และเมื่อท่านเป็นวิทยากรเอกได้แล้ว ต่อไปท่านก็จะก้าวสู่วิทยากรผู้ชำนาญการต่อไป
การฝึกเป็นวิทยากรหรือวิปัสสนาจารย์นอกจากจะเรียนรู้ในภาคปริยัติและปฏิบัติแล้ว ท่านต้องเรียนในขั้นปฏิเวธอีกด้วย นั่นคือ เมื่อท่านสอบท่องเนื้อวิชชาผ่านแล้ว ท่านได้ขึ้นเป็นวิทยากรหรือวิปัสสนาจารย์ฝึกหัดแล้ว หน้าที่ของท่านก็คือต้องนั่งสมาธิเดินวิชชา ๑๘ กายตามที่ท่านท่องเนื้อวิชชาไปสอบนั้นทุกวัน อย่างน้อยวันละ ๒ เวลา คือ ก่อนนอนรอบหนึ่ง และตื่นนอนตอนเช้าอีกรอบหนึ่ง ทำอย่างนี้ทุกวันก็จะทำให้ใจของท่านเกิดผลหรือเกิดปฏิเวธธรรม คือ ใจหยุด-นิ่ง-แน่น-ใสได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งที่ไม่เห็นวิชชาก็จะเห็นวิชชาเพราะท่านเป็นวิชชามาก่อนแล้ว ที่เห็นวิชชามาก่อนแล้วก็จะเห็นได้ดียิ่งขึ้นเกิดการพัฒนาทางวิชชาเรื่อยไปเพราะเราฝึกเดินวิชชาส่วนตัวทุกวัน แปลว่าเราฝึกแบบบัณฑิต นั่นคือ เรียนไป ทำไป เกิดประโยชน์ทุกสถาน ความรู้ก็ได้ บารมีก็ได้ ได้ทุกทางอย่างไม่เสียเวลาเปล่านั่นเอง
สำหรับการสอนผู้อื่นให้เข้าถึงธรรมกายตามหลักสูตรการฝึกวิทยากรนั้น เมื่อเราสอนได้ถูกต้อง เป็นขั้นเป็นตอนอย่างชัดเจน เราสามารถทำให้ผู้มารับการฝึกเห็นธรรมกายและเข้าถึงกายในกายได้อย่างมหัศจรรย์ อย่างที่ตัวของเราเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าเราจะทำได้มาก่อน ทั้งนี้เกิดจากการเรียนรู้เทคนิคการสอนที่ถูกต้อง และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากปฏิเวธธรรมนั่นก็คือเราเดินวิชชาได้ถูกธาตุถูกธรรมจริงๆ การสอนจึงได้ผลอย่างไม่คาดคิด
ในส่วนละเอียด ธาตุธรรมภาคขาวจะเข้ามาซ้อนวิชชาที่ศูนย์กลางกายของเราเพื่อให้เรามีสิทธิเฉียบขาดเวลาขึ้นสอน ไม่ว่าเราจะทำหน้าที่เป็นวิทยากรในตำแหน่งใด แต่ทั้งนี้มีเกณฑ์อยู่ว่า วิทยากรต้องเดินวิชชา ๑๘ กายและเดินวิชชาเข้าหาต้นธาตุและเข้านิพพานด้วยทุกครั้งก่อนสอน ถ้าท่านทำเช่นนี้เกิดผลคือเกิดปฏิเวธธรรมทันที การสอนจะได้ผลดียิ่ง เพราะพระพุทธเจ้าหรือธาตุธรรมภาคขาวก็ดี ทิพย์ พรหม อรูปพรหม รวมทั้งจักรพรรดิกายสิทธิ์ของธรรมภาคขาวก็ดี ก็จะมาชูช่วยให้การสอนในครั้งนั้นๆ เกิดสิทธิเฉียบขาดสอนได้ผลทำให้ผู้ฝึกเห็นและเข้าถึงธรรมกายได้นั่นเอง แปลว่า การสอนทุกครั้งเราไม่ได้ทำงานคนเดียว ในส่วนหยาบเราทำงานร่วมกับวิทยากรท่านอื่นๆ ในส่วนละเอียดเราทำหน้าประสานกับธาตุธรรมภาคขาวทั้งหมด เป็นการระดมสรรพกำลังมาช่วยเปิดรู้เปิดญาณฯให้ผู้ฝึกได้เข้าถึงธรรมกายนั่นเอง นี่คือหน้าที่ของเราผู้เป็นวิทยากรหรือวิปัสสนาจารย์สอนสมาธิวิชชาธรรมกาย
ทั้งหมดที่ได้บรรยายมานี้ ท่านเคยได้ยินได้ฟังเช่นนี้หรือไม่ ท่านเคยทราบเหตุทราบผลอย่างนี้หรือไม่ ท่านเกิดความเข้าใจว่าทำไมวิทยากรของคุณลุงการุณย์ บุญมานุชจึงสอนให้ผู้ฝึกเข้าถึงธรรมกายได้อย่างได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยเช่นนี้หรือยัง ถ้าท่านเกิดความเข้าใจแล้ว ท่านจะนิ่งเฉยอยู่ทำไม มาเรียนรู้ มาฝึกฝนให้ตนเองเป็นวิทยากรผู้ชำนาญการกันดีกว่า โลกต้องการคนอย่างท่าน วิทยากรรุ่นพี่พร้อมแล้วที่จะร่วมทางเดินไปกับท่าน คุณลุงการุณย์กล่าวว่า “วิทยากรทุกท่านต้องสร้างบารมีได้สำเร็จเสร็จสิ้นในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติอื่น ชาตินี้โชคดีเกิดมาพบวิชชาแล้ว ชาติอื่นไม่แน่นอน เราต้องสร้างบารมีให้สำเร็จเสร็จสิ้นกันในชาตินี้นี่แหละ”
“ในลักษณ์นั้นท่านว่า น่าประหลาด เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า
เหตุไฉนจึ่งย่อท้อรอรา หรือจะกล้าแต่เพียงวาที
เห็นแก้วแวววับที่จับจิต ไยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี อันมณีหรือจะโลดมาถึงมือ”
ขอประชาสัมพันธ์โครงการเปิดบ้านสอนสมาธิวิชชาธรรมกาย
เปิดอ่านข้อมูลที่นี่ http://forums.212cafe.com/samatha/board-14/topic-16.html