ในการเดินทางไกล... เราได้มาถึงแแล้ว


ถึงแม้สนามหญ้าของบ้านคนอื่นมีหญ้าที่เขียวกว่าบ้านเรา แต่บ้านเราก็เป็นบ้านที่มีความสุขที่สุดเสมอ

ตั้งแต่ต้นปีมานี้ ที่ทำงานฉันมีโอกาสต้อนรับเพื่อนร่วมงานชาวอเมริกันหลายคนที่มาช่วยงานที่โรงงาน และก็เป็นธรรมดาที่เราจะใช้เวลาในบางช่วงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านการเป็นอยู่ซึ่งกันและกัน การเปรียบเทียบในด้านสภาพแวดล้อมจึงเป็นหัวข้อหนึ่งในช่วงพักกลางวัน สำหรับคนที่เพิ่งฝ่าพายุหิมะเดินทางจากบ้านไปสนามบิน นั่งเครื่องบินกว่า 24 ชั่วโมง มาถึงอีกฟากหนึ่งของโลกที่แดดจ้า อบอุ่นด้วยอุณหภูมิ 25 – 32 องศาตลอดปี เพื่อนของฉันจึงพร่ำไม่หยุดว่าเขาและเธอรักบรรยากาศของบ้านเรา ฉันจึงบอกไปว่าจริงๆแล้วฉันชอบภูมิอากาศแบบ 4 ฤดูมากกว่าเพราะมันทำให้ฉันรู้สึกแตกต่างออกไปในแต่ละฤดูกาล จากการอาศัยอยู่และทำงานนอกเมืองของเขามาอยู่ในประเทศเล็กๆที่มีชีวิตการเป็นอยู่ในแบบซิตี้ไลฟ์ 24 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อนฉันตื่นเต้นกับแหล่งช้อปปิ้งที่มีอยู่ทั่วทุกมุมถนน ผู้คนและกิจกรรมที่ขวักไขว่ทั้งกลางวันกลางคืน บางคนบอกว่าไม่อยากกลับอเมริกาด้วยซ้ำ ฉันบอกพวกเขาว่าฉันใฝ่ฝันชีวิตที่สงบ เงียบ เรียบง่าย นอกเมืองมากกว่า

จากการสนทนาสั้นๆแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่สวนทางกันของฉันกับเพื่อน ชวนให้ฉันหยุดคิดถึงสำนวนหนึ่งที่มักได้ยินเสมอว่า “The grass is always greener on the other side of the fence” แปลตรงตัวคือ สนามหญ้าของบ้านคนอื่นมีหญ้าที่เขียวกว่าบ้านเราเสมอ ซึ่งหมายความว่าคนเราไม่เคยที่จะพอใจกับสิ่งของหรือสถานการณ์ที่มี เรามักคิดว่าคนอื่นมีสิ่งที่ดีมากกว่าเรา ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาจากการเปรียบเทียบนั้นคือการคิดว่าหากเราได้สิ่งเหล่านั้นแล้ว ชีวิตเราจะสะดวกสบายขึ้น เราจะมีความสุขมากขึ้น... แต่ในขณะนี้ ในขณะที่ยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการเราก็ไขว่คว้าหามัน บอกกับตัวเองว่าถึงแม้จะยังไม่มีความสุขในวันนี้ก็ให้อดทนอีกหน่อย สักวันหนึ่งเมื่อได้ในสิ่งที่เราอยากเราจะรู้สึกดีขึ้น บางคนก็อาจไม่เคยได้ในสิ่งที่หวัง เลยไม่ได้สัมผัสความสุขเลยชั่วชีวิต บางคนโชคดีหน่อยอาจได้ในสิ่งที่คิดไว้และมีความสุขในช่วงเวลาหนึ่ง และแล้วเขาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นสวนของอีกบ้านหนึ่งที่ยิ่งสวยกว่าบ้านของตัวเองก็เลยต้องขวนขวายอีกครั้ง และอีกครั้ง...เรื่อยไป

เมื่อคืนฉันวานหยิบหนังสือเล่มหนึ่งของหลวงปู่ติช นัท ฮันท์ มาอ่านก่อนเข้านอน เจอบทความที่ประทับใจมากเรื่อง We have arrived – เราได้มาถึงแล้ว ตอนหนึ่งดังนี้..

"We all have the tendency to struggle in our bodies and in our minds. We believe that happiness is possible only in the future. The realization that we have already arrived, that we don’t have to travel any further, that we are already here, can give us peace and joy. The conditions for our happiness are already sufficient. We only need to allow ourselves to be in the present moment, and we will be able to touch them.” - "เราต่างมีแนวโน้มที่จะกระเสือกกระสนทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ เราเชื่อว่าความสุขนั้นเป็นเรื่องของอนาคต การตระหนักรู้ว่าเราได้มาถึงแล้ว เราไม่ต้องเดินทางอีกต่อไป เราได้มาอยู่ที่นี่แล้วช่วยให้เรารู้สึกสงบและเป็นสุข เงื่อนไขของการมีความสุขมีครบถ้วนแล้ว ขอเพียงเราปล่อยตัวเราเองให้อยู่ในปัจจุบันขณะ เราจะสัมผัสความสุขนั้นได้"

ฉันบอกกับตัวเอง ถึงแม้อากาศที่สิงคโปร์จะมีแค่สองฤดูคือฤดูฝนตกและฤดูฝนไม่ตก แต่อุณหภูมิที่คงที่ก็ช่วยให้ร่างกายไม่ต้องปรับตัวมาก ถึงแม้จะอยู่ในเมืองที่มีผู้คนรถรามากมาย แต่ที่นี่ก็ยังมีสวนสาธารณะหลายแห่งให้ฉันได้ออกไปผ่อนคลาย และที่สำคัญนี่คือโอกาสที่ฉันจะสามารถฝึกจิตใจภายในของฉันสงบได้ไม่ว่าสภาวะภายนอกจะเป็นอย่างไร

ถึงแม้สนามหญ้าของบ้านคนอื่นมีหญ้าที่เขียวกว่าบ้านเรา แต่บ้านเราก็เป็นบ้านที่มีความสุขที่สุดเสมอ เพราะในบ้านของเรามีความสุขจากการมี ซึ่งโชคดีที่สิ่งที่เรามีอยู่แล้วนั้นมีมากมายหาได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่สดชื่น อาหารที่มีคุณค่า ครอบครัวที่น่ารัก ความรักความเข้าใจ สุขภาพที่ดี หน้าที่การงานที่เรารัก เงินเดือนที่พอเพียง บ้านที่น่าอยู่ และหากเราต้องการตัวเลือกของการมีความสุขอีกอย่างก็ขอให้เราเลือกความสุขจากการให้ เพราะเราสามารถแบ่งปันความสุขที่เรามีอยู่แล้วให้คนอื่นได้ แบ่งปันรอยยิ้ม และความรู้สึกที่ดี ทำได้ฟรีและไม่ยาก ความสุขจากการได้ขอให้มันเป็นเพียงโบนัสที่ช่วยเติมสีสันเล็กน้อยให้ชีวิตช่วงสิ้นปีก็พอ ฉันย้ำกับตัวเอง

ฝนตกตั้งแต่เมื่อวานบ่ายฉันจึงไม่ได้ออกไปไหน เลยขอนำความสุขของหมู่ผึ้งที่กำลังดูดน้ำหวานจากเกสรดอกบัวหลากสีที่เก็บภาพได้จากสวนสาธารณะใกล้บ้านเมื่อเช้าวันเสาร์มาฝากค่ะ ขอให้วันนี้เป็นเริ่มต้นการทำงานที่สดใสนะคะ

http://www.youtube.com/watch?v=UwZZj1jFT3I

 

หมายเลขบันทึก: 423353เขียนเมื่อ 31 มกราคม 2011 18:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน 2012 20:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

แวะเข้ามาอ่านบันทึกนี้แล้วอิ่มเอมใจ ครับ

ความสุข ของผมก็คือทุกๆวันที่เห็นทุ่งนา เขียวขจี ปลอดสารเคมีครับ

 

ภาษางามความคิดเยี่ยมค่ะ

 

 

ทุกอย่างอยู่ที่ใจ

แค่พอใจ..ก็มีความสุขที่สุดแล้ว

นำภาพดอกพทูเนียที่บ้าน

ลูกชายถ่ายเอาไว้มาฝากเช่นกันค่ะ

  • สวัสดีครับ
  • ประทับใจในบันทึกครับ เขากล่าวว่าเมืองไทยเมืองทอง ไม่หนาว ไม่ร้อนเกินไป แต่แปลกที่หลายคนฝันไฝ่ ไปอยู่เมืองนอก ที่มีความศิวิไลซ์ด้านวัตถุ แต่ด้านสนับสนุนการดูแลด้านจิตใจ ห่างไกลกับบ้านเรา ที่แสนจะอบอุ่น บางคนดูถูกประเทศตนเอง ขณะที่ฝรั่งมากมาย อยากมาตายที่เมืองไทย

สวัสดีค่ะคุณต้นกล้า ดีใจที่ความสุขของคุณหาได้ไม่ยากค่ะ ฉันเองก็มีความสุขที่ได้เห็นนาข้าวเขียวขจีเช่นกัน สุขสันต์วันจันทร์นะคะ

-

--------

-

สวัสดีค่ะคุณกุลมาตา ขอบคุณค่ะ น้องถ่ายรูปได้เก่งเชียวค่ะ ขอเป็นแรงใจให้ใจที่พอ สงบ ค่ะ

=

========

=

สวัสดีค่ะคุณชำนาญ ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะที่ว่าเมืองไทยงดงาม น่าอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฉันก็ยังคงคิดถึงเมืองไทยเสมอ บางครั้งเราก็ไม่รู้ค่าของสิ่งที่เรามี จนถึงวันที่เรามีประสบการณ์มากขึ้น ทางโน้นอากาศยังหนาวอยู่หรือเปล่าคะ รักษาสุขภาพค่ะ

สวัสดีค่ะ

"เราเชื่อว่าความสุขนั้นเป็นเรื่องของอนาคต การตระหนักรู้ว่าเราได้มาถึงแล้ว เราไม่ต้องเดินทางอีกต่อไป เราได้มาอยู่ที่นี่แล้วช่วยให้เรารู้สึกสงบและเป็นสุข เงื่อนไขของการมีความสุขมีครบถ้วนแล้ว ขอเพียงเราปล่อยตัวเราเองให้อยู่ในปัจจุบันขณะ เราจะสัมผัสความสุขนั้นได้"

ขอเพียง พอใจในสิ่งที่มี ที่เป็น ก็ทุกข์น้อยล  รู้จักให้ รู้จักพอ ก็สุขมากขึ้นค่ะ

ขอให้มีความสุขที่สงบเย็น ในประเทศที่มีธรรมชาติที่สะอาดตา เช่นกันค่ะ

สวัสดีค่ะคุณ mee_pole เมื่อก่อนก็ไม่ค่อยสงบเย็นสักเท่าไหร่ค่ะ แต่พอวัยย่างเข้าเลขสาม รู้สึกตัวว่าสงบเย็นลงเยอะค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อสรุปที่งดงามค่ะ

พอใจในสิ่งที่มี ที่เป็น ก็ทุกข์น้อยล  รู้จักให้ รู้จักพอ ก็สุขมากขึ้น"

ผมได้รับความสุขจากการให้...

ของคุณปริม แล้ว

ขอบคุณนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท