บุญเจ้าไม่เคยสร้าง ใครที่ไหนจะช่วยเจ้า
เมื่อถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดิน ก็ต้านเจ้าไม่อยู่
(สมเด็จโต)
ทุกอย่างเกิดที่เหตุ และย่อมดับที่เหตุ
ผลย่อมสำเร็จตามกรรม ไม่มีใครขัดขวางกรรมของใครได้
(นิรนามกถา)
-------------------
ในค่ำคืนของวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๓
คืนนั้น…
เป็นคืนวันโกน ที่โบราณนับถือว่า “เฮี้ยน” กว่าทุกวัน
บรรยากาศวัดช่างมืดและเงียบสนิท
พระสงฆ์จำเคร่งอยู่ในกุฏิ
เป็นบรรยากาศที่น่าจะไร้วี่แววแห่งหายนะ
และควรจะเป็นอีกคืนหนึ่งที่วัดคุ้งตะเภาจะควรสงบเช่นที่เคยเป็นมานับ ๓๐๐ ปี
ใครเล่าจะรู้ว่า ภายในกลางอุโบสถวัดคุ้งตะเภา
ไฟที่ไร้ที่มา และไม่มีใครจุด
ได้โหมลุกช่วงโชตนาการขึ้น
หายนะได้เกิดขึ้นแล้ว
รุ่งเช้า วันพระ คนไปเปิดโบสถ์
ตกใจสุดชีวิต!
สภาพภายนอกโบสถ์ ปกติ
แต่ภายใน ไฟดับไปนานแล้ว แต่ยังเต็มไปด้วยเขม่าควันดำคลุ้ง
หลังเปิดหน้าต่างระบายอากาศหมดแล้ว จึงรู้ว่าเกิดอะไร และเหลืออะไรไว้
พื้นโบสถ์หินอ่อนบริเวณไฟไหม้ ทะลุแตกอย่างน่ากลัว น่าจะบอกความรุนแรงของไฟได้ว่ามากขนาดไหน
ไฟไหม้หน้าแท่นบูชาปฏิมาองค์หลวงพ่อสุวรรณเภตราอันเป็นที่รักยิ่งของคนคุ้งตะเภา
ลางหายนะหรือกระไร
ทว่า...
พัดรองตราสัญลักษณ์ ๘๐ ปี ในหลวง ที่เสียบขาตั้งพัด ที่น่าจะไหม้พร้อมกับขาตั้งไปแล้ว
เหลืออยู่ครบทั้งด้าม!
ตราในหลวงเด่นสง่าเหมือนเคย
ตู้ไหม้ ๆ เหลือเศษเงินอยู่
(เท่าผลเลขสามตัวสลากกินแบ่งงวดถัดไป-รวยกันเล็กน้อยถึงปานกลาง)
ไฟลามขึ้นโต๊ะหมู่หน้าองค์หลวงพ่อ
แต่ไหม้เพียงแค่ขา เป็นรอยถาก ๆ ของไฟ แล้วหยุดลงแค่นั้น
เหมือนบอกนัยอะไรบางอย่าง
ไฟเกิดเอง ดับเอง...
เช้าวันนั้น มีผู้ทราบเรื่องไม่กี่คน
แน่นอน… ทุกคน แปลกใจ ประหลาดใจ ตกใจ
“ไฟทำไมไหม้ ไหม้ได้อย่างไร แล้วทำไมไหม้แล้วดับเอง ทำไมไฟลามขึ้นโต๊ะหมู่ไม้สักที่เป็นเชื้อไฟดี ๆ แล้ว ถึงไม่ลามไปไหม้ให้หมด ทำไม ทำไม ทำไม.............”
ไม่มีใครให้คำตอบได้
ต่างคนต่างคิดสะระตะไปเรื่อยตามประสาไทยมุง
แต่อย่างไรก็ดี
เหตุการณ์นี้อาจเป็นเครื่องบอกอนาคตของบ้านคุ้ง
สิ่งที่เกิดบอกอะไรหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นแล้ว
ไฟย่อมดับเอง
ไฟมันไหม้เทียนไหม้ที่ต้นตอ และละลายตัวเองพินาศไป
แม้จะไหม้ลามเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง ก็แค่ข้างเคียง
แต่ก็ทำอะไรองค์หลวงพ่อ และบริวารไม่ได้
บางทีที่สุดของทุกเหตุผลอาจคือการไม่คิดอะไรมากก็เป็นได้
แต่ก็อดคิดไม่ได้
จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง
------------
บางคนบอกว่า ในโลกนี้ บางทีสิ่งที่เกิดขึ้น อาจไม่มีเหตุผลเลยก็ได้
แต่ในขณะเดียวกัน บางคนบอกว่า ทุกสิ่งในโลกไม่มีคำว่า “บังเอิญ”
ใครจะรู้ ว่าถูกหรือผิด...
บางทีชีวิตของเราก็วุ่นวาย และมากเรื่องอยู่กับความคิด
ปล่อยให้ชีวิตตกต่ำอยู่ภายใต้ความครอบงำของความคิดของตน ซึ่งไม่รู้ถูกหรือผิด
มีบางคนพูดว่า “ความคิดไม่ใช่คำตอบ แต่คือหนทางสู่คำตอบ”
เราจึงปฏิเสธการคิด “เอง” เสียไม่ได้
แม้ในการทำงานอะไรก็ตาม…
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า
คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา
ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา
ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา
แต่ผมว่า บางทีเราจะมีความสุขกับชีวิตได้ง่าย ๆ ถ้าไม่คิดมันเสียเลย ว่าใครริษยาเราหรือเราจะริษยาใคร
อยู่กับลมหายใจและตัวเอง ทำเหตุแห่งความสำเร็จให้ดีที่สุด
แล้วปล่อยให้ผล มันเป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติ
“ทำเหตุให้มาก แล้วปล่อยวางในผล”
แค่นี้ก็สุขใจได้ง่าย ๆ
แม้ผลของงานจะไม่สำเร็จดังหวังก็ตาม...
แต่เชื่อโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์โตเถอะครับว่า
"ทำเหตุในปัจจุบันดี ผลในอนาคตย่อมต้องดี" แน่นอน
สยบทุกเหตุผลไหมขอรับ 555+
-------------------------------
เรื่องเล่าจากท้ายคุ้ง ตอนต่อไป (ตอนที่ ๒)
ผมจะคุยถึงหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ขอรับ
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีลูกหลานชาวอุตรดิตถ์โดยตรง
หลวงปู่โต เจ้าของตำนานพระสมเด็จวัดระฆัง
มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าเรื่องราวจากท้ายวัดคุ้งตะเภาอย่างสนิทแนบแน่นอย่างไร
อย่าลืมติดตามกันครับ
เรื่องเล่าจากท้ายคุ้งพุ่งบอกชี้ ตัวเหตุนี้ชี้ผลไปในภายหลัง
เหตุสร้างได้อยู่ที่ใครดูง่ายจัง ผลเหมือนดังเหตุสร้างอย่างไรมี