๒๘.แม้ว่าจริตและนิสัยจะต่างกัน


          เริ่มปีใหม่นี้มีโอกาสได้ตั้งใจอ่านหนังสือถึง ๖ เล่ม "สร้างชีวิต"  ของพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ "ปลูกรัก" ของหลวงปู่ติชนัทฮันห์  "ทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวนา" และ "คำตอบหลวงปู่ชา" ของหลวงพ่อชา สุภัทโธ  และ "งานของมนุษย์และวิธีการของท่านผู้รู้" ของหลวงพ่อเทียน  จิตตสุโภ

         กัลยาณมิตรท่านหนึ่ง  "อยากให้เขียนเล่าเกี่ยวกับการฝึกปฏิบัติธรรมหรือเกี่ยวกับการฝึกเจริญสติปัญญา  เนื่องจากมีบางท่านบอกว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่อยากจะฝึก  ไม่มีเวลาหรือไม่ว่าง"

         ตามที่ได้เรียนรู้มาพอจะทราบว่า "หากไม่มีความรู้จริงไม่ควรไปสอนคนอื่น"  บันทึกฉบับนี้จึงเป็นการเล่า  ไม่ใช่การสอนเพราะยังรู้น้อยมาก ขอเริ่มเล่าเรื่องที่ได้อ่านและฝึกในวันนี้  และอาจเล่าต่อเพิ่มเติมในเม้นท์หากมีผู้อยากทราบ

         หลวงพ่อเทียน  จิตตสุโภ  สอนว่า "การเจริญสติต้องทำมาก ๆ ทำบ่อย ๆ  นั่งทำก็ได้ นอนทำก็ได้  ขึ้นรถลงเรือทำได้ทั้งนั้น  เวลานั่งรถยนต์ก็เอามือวางไว้บนขา  พลิกขึ้น คว่ำลงก้ได้ หรือไม่อยากพลิกขึ้นไม่อยากคว่ำลง  เราเพียงเอานิ้วมือสัมผัสนิ้วก็ได้ ให้มีความตื่นตัว  ทำช้า ๆ หรือจะกำมือ เหยียดมือก็ได้"

        คำว่าให้ทำแบบนั้นแบบนี้ตลอดเวลาหมายความว่า "เราทำความรู้สึกเช่นการซักเสื้อผ้า  กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างชาม เขียนหนังสือ หรือซื้อขาย  เพียงเรามีความรู้สึกเท่านั้น  แต่ความรู้สึกนี้มันจะสะสมเอาไว้ทีละน้อยจนเคยชิน"

       การเจริญสติคือ "การที่เรารู้สึกยกเท้าไปยกเท้ามา  ยกมือไปยกมือมา  เรานอนกำมือเหยียด  ทำอยู่อย่างนั้น หลับแล้วก็แล้วไปเมื่อตื่นขึ้นมาต้องทำใหม่  การทำบ่อย ๆ แบบนี้เรียกว่าการเจริญสติประจำวัน"

        หลวงพ่อเทียนได้บวชเพื่อศึกษาธรรมและบวชมาหลายวัด ก็ไม่สามารถเอาชนะความโกรธได้  จนกระทั่งอายุ ๔๕ ปีท่านได้บวชอีกครั้งหนึ่ง  และปฏิบัติโดยทำกรรมฐานวิธีเคลื่อนไหว  แต่ท่านไท่ได้ภาวนา "ติง นิ่ง" (ติงแปลว่าไหว)  อย่างที่คนอื่นทำกัน ท่านเพียงแต่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายและจิตใจเท่านั้น  ท่านใช้เวลาเพียง ๒ - ๓ วันท่านก็วสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างเด็ดขาด  โดยปราศจากพิธีรีตองหรือครูอาจารย์  ในเวลา ๑๑ ค่ำ เดือน ๘ พ.ศ.๒๕๐๐

       หนังสือเล่มนี้กล่าวถึง ๒ ภาคคือ ภาคงานของมนุษย์  "ให้ทำงานด้วยใจรัก ศรัทธาในงานและทำงานเพื่องาน"  และภาควิธีการของท่านผู้รู้ "ก่อนที่จะเกิดความรักและศรัทธาในงาน  ต้องทำความรู้สึกตัวและตื่นตัวอยู่เสมอ"

       หลวงพ่อสอนว่า  "ธรรมะ" คือคนทุกคน  อยู่กับคนทุกคน  สุดแล้วแต่ว่าบุคคลนั้นจะทำให้มันปรากฏขึ้นมาหรือไม่  ถ้าบุคคลนั้นไม่ทำให้มันปรากฏขึ้นมา ไม่ทำวิธีนั้นให้เกิดขึ้นมา สิ่งนั้นก็จะไม่ปรากฏ

       "วิธีการฝึกของฉัน" เมื่ออ่านหนังสือหรือคำสอนแล้วฉันจะฝึกทันที  ฝึกทุกขณะ  ที่ในบ้านหรือนอกบ้านก็ฝึกได้  เดินรอบ ๆ บ้าน เดินก็ให้รู้สึกว่าเท้าใดย่างก้าว เท้าใดย่ำ หยุดก็รู้ว่าหยุด จะหยิบจะจับก็ให้รู้ทุกครั้ง  มีบ้างที่จิตใจวอกแวกออกไป  แต่ก็ตามทันให้กลับมาฝึกใหม่

         การขับรถก็ระมัดระวัง  เปลี่ยนพฤติกรรมขึ้น  สามารถรู้ตัวทุกครั้งก่อนติดเครื่อง  เท้าต้องเหยียบคันเร่ง  ต้องเหยียบเบรค  ต้องหยุดรถที่เกียร์ว่างเสมอ  ไม่หยุดรถคาเกียร์  มองซ้ายมองขวาถนัดขึ้น  และที่สำคัญจะขับตามคันไหนไปแค่ไหนก็ทำได้ 

         "ผลของการฝึก"  การฝึกแบบนี้ทำให้ทำอะไรช้าลง   เดิมเป็นคนใจร้อน  ใช้เวลาเป็นตัวกำหนดในการทำงาน  รีบเร่ง  ขับรถเร็ว (มาก)  เพื่อนขับรถช้าเคยขอเป็นคนขับแทน  และไม่ชอบขับรถตามใคร เมื่อหยุดรถก็คาเกียร์เดินหน้าไว้แต่ใช้เท้าขวาเหยียบเบรครอ  เพราะกลัวรถจะออกตัวช้า

           ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งของฉันคือ ชอบคิดแทนคนอื่น ทุกข์ของตัวเองไม่พอ  ยังแบกรับทุกข์ของคนอื่นเพิ่มขึ้น  แม้ว่าจะรู้ความหมายของการปลง การวาง แต่ขาดการฝึกที่จิต  จึงไม่สามารถปล่อยปลงวางได้  แต่เมื่อฝึกบ่อย ๆ แล้วได้พบว่าการคิดแทนคนอื่นหายไป  อยากจะทำอะไรก็เป็นการตัดสินใจเพียงปัจจุบัน  ไม่ใช่เรื่องวิเศษแต่มีความเข้าใจธรรมชาติมากขึ้นนั่นเอง

            ขอบอกว่า "ไม่ใช่เรื่องยากเลย  เพียงแต่มีความรัก ความศรัทธา  พยายามฝึกไปทีละน้อย ๆ  แล้วจะได้คำตอบด้วยตัวเอง"  หลวงพ่อเทียนท่านกล่าวไว้ตอนท้ายในบท "จิตหลุดพ้น" ว่า "แม้ว่านิสัยคนนั้นไม่เหมือนกัน  จริตของคนก็ไม่เหมือนกัน สติปัญญาของคนก็ไม่เหมือนกัน แต่สภาวะจิตที่หลุดพ้น อันที่ไม่ทุกข์นั้นเหมือนกันหมด"

            ขอขอบพระคุณ  อาจารย์โสภณ เปียสนิท เป็นอย่างสูง  ที่ได้ให้กำลังใจและเป็นแรงบันดาลใจให้มีโอกาสได้เขียนเรื่องเล่าผ่านบันทึกนี้

หมายเลขบันทึก: 418933เขียนเมื่อ 7 มกราคม 2011 22:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 พฤษภาคม 2012 00:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่าน


ความเห็น

เรื่องของการเจริญสติสำหรับตาลแล้ว

คิดว่าตัวเองยังมีความเพียรพยายามไม่มากพอเลยค่ะ

แต่ก็ชอบศึกษามากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของ อาจารย์โสภณ  คุณณัฐรดา ชอบเข้าไปอ่านค่ะ

พี่คิมยังไม่ง่วงเหรอคะ  ครูตาลเพิ่มความน่ารักของเด็ก ๆ อีก 1 บันทึกแล้วค่ะ

  • เปิดแฟ้มภาพ Banputabak school : เมื่อคนเล็ก ๆ เป็นดาราหน้ากล้อง ตอน มะพร้าว ของดีอำเภอทับสะแก
  • สวัสดียามดึกค่ะพี่คิม

    ชอบจังเลยค่ะ "ให้ทำงานด้วยใจรัก ศรัทธาในงานและทำงานเพื่องาน"

    "ก่อนที่จะเกิดความรักและศรัทธาในงาน ต้องทำความรู้สึกตัวและตื่นตัวอยู่เสมอ"

    ดีเลยค่ะ แบบนี้เราก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกที่ ทุกเวลา

    เพียงแค่เรามีสติอยู่ในทุกๆการเคลื่อนไหวทุกๆการกระทำของเราเอง ^^

    ขอบคุณค่ะพี่คิม

    มาอ่าน มาชื่นชม พร้อมอนุโมทนาบุญครับ ขอเป็นกำลังใจให้หลุดพ้นจากความคิดว่า "สอน"

    ไปสู่การแบ่งปันตามวิสัยทัศน์ของ g2k

    ไปสู่การสนทนาธรรม ที่พระกล่าวว่าเป็นหนึ่งใน มงคล 38

    ไปสู่การให้ธรรมเป็นทาน ที่พระสอนว่า "ชนะการให้ทั้งปวง"

    ไปสู่การทำหน้าที่กัลยณมิตร ที่พระสอนว่า เป็นบุพนิมิต รุ่งอรุณของชีวิต

    เป็นต้น 

    ขอบคุณนะคะพี่คิมที่ได้ถ่ายทอดสิ่งดีๆ พร้อมประสบการณ์ตรงของพี่เองมันทำให้บันทึกนี้อ่านแล้วเข้าใจง่ายและทำให้คล้อยตามได้อย่างไม่สงสัยเลย เพราะอะไรที่พี่ว่าดีบี๋เห็นด้วยค่ะ เพราะพี่จะมีเหตุผลมา Support เสมอ คนอ่านจะได้ไม่ต้องคิดมากให้ปวดหัวค่ะ ^--^

    *** ทำให้เข้าใจว่าการปฏิบัติงาน คือการปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้นจากบันทึกนี้

    *** ขอบคุณพี่คิมค่ะ

    ชอบอ่านบันทึกพี่คิม ขอบคุณค่ะ :)

    สวัสดีค่ะน้องตาลอิงจันทร์

    ขอขอบคุณที่มาเจิม และติดตามอ่าน "สร้างแรงบันดาลใจให้เล่าต่ออีกแล้วนะคะ"

    ที่ตาลว่ามา...จากคำสอนของหลวงปู่ชา สุภัทโทค่ะ  ไว้เล่าในบันทึกหน้าดีกว่านะคะ

    หากจะฝึกไม่ต้องรอว่างหรือพยายามหรอกนะคะ  เอาง่าย ๆ แบบนี้ก็ได้ค่ะ "วันละ ๑ นาที  ก่อนนอน ก่อนอาบน้ำ ซึ่งเป็นเวลาส่วนตัว"  ขอเป็นกำลังใจค่ะ

    พี่คิมเป็นคนดื้อรั้น ใจร้อนเป็นไฟ  ยังทำได้นะคะ

    สวัสดีค่ะน้องหนึ่งHana สุวิญญา ธนสีลังกูล

    หลวงพ่อชา สุภัทโท  ท่านบอกว่า "การอ่าน การฟัง คือการรู้ค่ะ แต่จะให้ดีต้องปฏิบัติ" ค่ะ

    น้องหนึ่งได้เปรียบ  เพราะมีโอกาสอยู่ใกล้วัดและสำนักปฏิบัติมากมาย  ขอเป็นกำลังใจค่ะ

    "การทำงานคือการกระทำที่เป็นธรรมชาติแล้วจะเกิดธรรมะ"

    สวัสดีค่ะอาจารย์โสภณ เปียสนิท

    ขอขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งหนึ่งที่ช่วยสร้างโจทย์และเป็นแรงบันดาลใจให้ได้เขียนเล่าประสบการณ์จากการฝึก

    หากจะเริ่มแต่ต้น  มีมากมายนะคะ เป็นอุทาหรณ์ต่อผู้อ่านมาก ๆ แต่อาจเป็นการวกวนเสียเวลาค่ะ   ขอเริ่มปัจจุบันไปก่อน  หากเข้าประเด็นจึงจะเพิ่มเติมในเม้นท์ค่ะ

    น้องอิงจันทร์...ได้ให้โจทย์มาอีกประเด็น  ตรงกับคำสอนของหลวงปู่ชา สุภัทโท  พอดี  จะขอเล่าในบันทึกหน้าค่ะ

    ธรรมทาน  เป็นการให้ก็จริง  นึกถึงคำสอนของพระในบ้านอีกแล้วค่ะ พระในบ้านทั้งสองท่านสอนว่า "เกิดมาชาติหนึ่ง  ควรหาโอกาสใกล้ชิดกับคนมีธรรม สนทนาธรรม ชี้แนวทางธรรม  และเผยแผ่แนวทางธรรม  จึงไม่เสียชาติเกิด" ค่ะ

    สวัสดียามเช้าวันเด็กค่ะพี่คิมที่รัก...

    ได้อ่านธรรมะดีๆเช้าๆอย่างนี้สดชื่นและตั้งสติคิดตามได้ดีจังค่ะ

    พอเราเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากคำสอนหลายๆที่ประกอบกันแล้ว  ทำให้เราวางจิตได้นิ่งในระดับหนึ่ง  อีหน่อยคงฝึกได้มากกว่านี้ค่ะ..

    ขอบคุณกับบันทึกที่มาจากใจนะคะ 

    สวัสดีค่ะน้องBaby

    ผลของการฝึกปฏิบัติ  จะเกิดขึ้นในตัวเราเอง  เราสามารถตอบโจทย์ได้ตัวเอง  และสิ่งที่ไม่สามารถคือ "ไม่สามารถไปบอกให้ใครมารับความรู้สึกนั้นได้"

    อย่างบางครั้ง "พี่คิมฝึกเดินอยู่ในบ้าน  ทำให้มองเห็นเท้าของตัวเองโดยพิจารณา"ค่ะ

    หากหยุดยืนมองออกไปนอกบ้าน "ทำให้มองเห็นสิ่งที่เราไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน  แต่เป็นความรู้สึกอย่างธรรมชาติ ที่เยือกเย็นลงค่ะ"

    ที่สำคัญรู้ได้ว่า "กิเลสลดลง...แต่ยังไม่หมด"  ฮา ๆ ๆ ๆ

    เพื่อนเกิดงง "พี่คิมบอกว่าไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว"

    ขอเป็นกำลังใจให้น้องบี๋ค่ะ  ขอให้มีความสุขในปีใหม่มาก ๆ นะคะ

    สวัสดีค่ะน้องกิติยา เตชะวรรณวุฒิ

    ธรรมะ...สอนให้การทำงานเป็นธรรมชาติ ที่มาจากการกระทำอย่างธรรมชาติ และจะเกิดธรรมะในตัวเองค่ะ

    บันทึกต่อไปจะเล่าเรื่อง คำสอนของหลวงพ่อชา สุภัทโทค่ะ 

    ความจริงอยากจะเล่าแต่ต้น ก็กลัววกวน  กว่าจะมาถึงวันนี้ได้  มีเรื่องสอนใจมากมายค่ะ  จึงได้แต่เล่าตัดตอนมาตรงนี้ไปก่อน

    ปีใหม่นี้ขอให้น้องและน้องฟางมีความสุขมาก ๆ นะคะ  วันนี้วันเด็กคงไปบริการเด็ก ๆ เต็มที่  ขอเป็นกำลังใจค่ะ

    สวัสดีค่ะน้องkrugui Chutima

    ความจริงต้องเล่าตั้งแต่ต้น  เริ่มตั้งแต่การหันหน้าเข้าหาพระธรรม (อย่างจริงจัง)  แต่กลัวคนอ่านสับสน และเลิกอ่านไปเสียก่อน

    หนังสือธรรมะ ๑ เล่ม  สามารถอ่านได้หลายร้อยครั้ง เพราะเราคิดตามและปฏิบัติตามค่ะ

    หลวงพ่อชา สุภัทโทสอนว่า "การรู้ธรรมะเป็นการเอาชนะคนอื่น แต่การมีธรรมะเป็นการเอาชนะตนเอง" ค่ะ

    ที่สำคัญ...พี่คิมจะเล่าต่อค่ะ  เพราะมีโจทย์มาเพิ่มเติมมากมาย  ขอขอบคุณน้องอีกคนกัลยาณมิตรที่เข้ามาแลกเปลี่ยน สร้างแรงบันดาลใจให้พี่คิมได้ต่อยอดความรู้ค่ะ

    สวัสดีค่ะน้องpoo

    สั้น ๆ แต่มั่นใจใน...กำลังใจค่ะ

    น้องปูลองทบทวนเมื่อพบพี่คิมครั้งแรกดูนะคะ "มีคนส่วนใหญ่มักจะถามพี่คิมว่า...คริสต์อะไร"

    เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาบาทหลวงท่านหนึ่งถามอีกว่า "ครูคิมคริสต์อะไร..."  ในใจอยากจะตอบว่า "คิดสะตางค์"...ฮา ๆ ๆ ๆ

    เพราะตอนเด็กเรียนมาจากโรงเรียนคาทอลิคค่ะ  คำสอนพระคริสต์เต็มสมองจนทุกวันนี้  และปฏิบัติตามนะคะส่วนที่เป็น "จริยวัตร"

    ติดตามอ่านต่อนะคะ

    • สวัสดีวันเด็กค่ะพี่คิม
    • "การรู้ธรรมะเป็นการเอาชนะคนอื่น แต่การมีธรรมะเป็นการเอาชนะตนเอง"
    • ฉะนั้นคนดีทั้งความคิดและการปฏิบัติ ย่อมทั้งมีและรู้ธรรมะนะ คะพี่

    อนุโมทนาบุญกับคุณครูผู้ลิขิต        ผู้ฝึกจิตตัวดีที่ศึกษา

    มีความรู้สู่ปฏิบัติด้วยศรัทธา            เกิดปัญญารู้จริงสิ่งที่ทำ

    สวัสดีค่ะน้องติ๋มKanchana

    หลวงพ่อชา...ท่านสอนให้พวกเราได้รู้แล้วนำไปปฏิบัติค่ะ  พี่คิมใช้เวลาฝึกมาเรื่อย ๆ ไม่ได้ตั้งเป้หมายอะไร เพียงแต่เมื่อมีเวลาแล้วก็ขยันฝึกบ่อยๆ ขึ้นค่ะ

    การรู้ธรรมะทำให้เราได้คิดคือคิดเรื่องดี ๆ อาจรู้จักหักห้ามตนเอง รู้จักละอายใจในการกระทำค่ะ

    แต่ท่านสอนว่า  การปฏิบัติทำให้เรารู้จักใจตนเอง เข้าใจธรรมชาติ ปล่อย ละ วาง ค่ะ

    ขอให้น้องติ๋มมีความสุขในวันเด็กนะคะ

    สวัสดีค่ะคุณ วิโรจน์ พูลสุข

    ขอขอบพระคุณค่ะ

    คุณวิโรจน์ พูลสุข  มีบุญบารมีและวาสนาดีกว่ามีโอกาสได้ฝึกปฏิบัติมาเป็นเวลานาน  มีสิ่งดี ๆ ก็นำมาแบ่งปันบ้างนะคะ

    ส่วนครูคิมกำลังฝึกเตาะแตะ  ตอนนี้มีเวลาและโอกาสเพิ่มขึ้น  อีกอย่างมีบ้านอยู่ในหมู่บ้านที่สงบ เงียบด้วยค่ะ

    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท