แม้จะล้มลุกคลุกคลาน ผิดบ้างถูกบ้าง แต่ดิฉันก็ได้พาลูกผ่านมรสุมชีวิตมาจนถึงวันนี้..วันที่ลูกชายเติบโตครบ ๑๐ ปี เป็นเพื่อนข้างกายแม่ในเกือบทุกยาม..และทุกๆที่..ด้วยระลึกถึงคำสอนของท่านแม่ชีที่ว่า “ถ้าโลกอยากจะให้เด็กปลอดภัย ก็ต้องทำให้ หัวใจของผู้หญิง’ เป็น ‘หัวใจแม่...หัวใจโพธิสัตว์’
เช้าตรู่วันเสาร์ที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ ดิฉันและลูกชายหิ้วตระกร้าหวายใบใหญ่
ใส่ข้าวสาร อาหารแห้งและผลไม้เต็มตระกร้า ออกเดินทางจากบ้านที่จังหวัดนนทบุรี
ไปยังเสถียรธรรมสถาน ซอยวัชรพล รามอินทรา ด้วยรถแท๊กซี่
อากาศยามเช้าอันสดใส ลมหนาวพัดต้องผิวหน้า ผิวกาย พอให้รู้สึกเหนาวเย็นบ้าง
ถนนหนทางโล่ง รถราวิ่งเพียงน้อยคัน จึงใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมาย
ต่างจากวันปกติลิบลับ
..
ดิฉันพาลูกชายมาที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ ตอนนั้นลูกอายุประมาณ
๒ ขวบกว่า มีแรงบันดาลใจให้ไปถึงที่นั่นจากรายการโทรทัศน์ “นี่แหละชีวิต” ซึ่งดิฉัน
ได้เฝ้าติดตามดูอยู่หลายตอน รู้สึกประทับใจในคำสอนของท่านแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต
จึงได้ปรึกษาคุณพ่อ คุณแม่ว่าดิฉันอยากพาลูกไปเสถียรธรรมสถานสักครั้งหนึ่ง ทั้งสอง
ท่านก็เห็นดีด้วย
แต่คุณแม่ชราภาพและสุขภาพไม่ดี ท่านจึงมิได้เดินทางไปกับดิฉันและลูกชาย มีเพียง
คุณพ่อที่ยังแข็งแรง จึงเดินทางไปเป็นเพื่อน ในการไปเยี่ยมชมสวนธรรมแห่งนี้ในครั้งแรก
..
ครั้งแรกที่ได้มาเห็นสวนธรรมแห่งนี้ ดิฉันรู้สึกประทับใจมาก เช่นเดียวกับลูกชายที่ตื่นตา
ตื่นใจกับต้นไม้นานาพันธุ์ และสนามหญ้าเขียวกว้าง บริเวณรอบๆ ต้นโพธิ์ใหญ่ที่เรียกว่า
“ลานโพธิ์” ดิฉันได้ฟังธรรมเทศนาจากท่านแม่ชีในช่วงเช้าวันอาทิตย์นั้น ที่ธรรมศาลา
ไปพร้อมๆกับดูแลลูกซึ่งยังเล็ก สลับกับคุณพ่อที่มาเป็นเพื่อน
..
หลังจากวันนั้น ดิฉันก็กลับไปที่เสถียรธรรมสถานพร้อมลูกชายในวันอาทิตย์อีก เพราะ
รู้สึกสงบ สบายใจจากภาระการงาน และการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องดูแลลูกคนเดียว
ตั้งแต่สามีเสียชีวิต เมื่อลูกอายุเพียง ๓ เดือน
ยิ่งไปกว่านั้น คุณแม่หรือคุณยายของลูก ก็มาจากไปด้วยโรคภัย ทำให้ดิฉันมีความทุกข์
จากการสูญเสียบุพการีผู้ที่เป็นที่รักยิ่งในชีวิต ห่างจากการเสียชีวิตของสามีเพียง ๒ ปี
ดิฉันจึงพาลูกมานั่งฟังธรรม สงบจิตใจที่นั่น ส่วนลูกก็จะวิ่งเล่น เล่นน้ำบ้าง เป็นที่สนุก-
สนาน เบิกบานใจ เพราะอยู่ในแวดล้อมของธรรมชาติอันร่มรื่น
ถัดมาอีก ๔ ปี คุณพ่อผู้ซึ่งเป็นบุพการีที่รักยิ่งในชีวิตอีกท่าน ก็มาจากไปอีก..เหลือเพียง
ดิฉันคนเดียวจริงๆที่เลี้ยงลูก เพราะน้องชายก็แยกครอบครัวไป ดิฉันรู้สึกเสมือนว่า
เหลือเพียงเสถียรธรรมสถานเพียงที่เดียว ที่เป็นที่พึ่งพิงทางใจ..
..
ถ้าจำไม่ผิด ในราวปี ๒๕๔๗ ท่านแม่ชีได้ก่อตั้ง “โครงการโรงเรียนพ่อแม่” มีกิจกรรม
ศิลปะเช่น ระบายสีผ้าบาติก ทำเทียนเจล ปั้นผลไม้จิ๋ว และอื่นๆ ให้เด็กๆที่มาร่วม
โครงการได้ภาวนากับการทำกิจกรรมดีๆ เหล่านี้
ส่วนคุณพ่อคุณแม่ของลูกๆ ก็ได้เรียนรู้จากการสังเกตุลูกๆ ได้ฟังคำสอนของท่าน
มีวิทยากรที่มาให้ความรู้เรื่องการเลี้ยงลูก ทั้งคุณหมอ นักจิตวิทยา ผู้ทรงคุณวุฒิฯ
และมีการจัดกลุ่มย่อยทำกิจกรรม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ขอคำแนะนำวิทยากร
ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการนำมาปรับใช้ เลี้ยงดูลูกในแต่ละบ้าน
..
จนถึงปัจจุบัน”โครงการโรงเรียนพ่อแม่” จัดทุกวันอาทิตย์ที่ ๓ ของทุกเดือน
ดิฉันจึงพาลูกชายไปที่นั่นอย่างน้อยเดือนละครั้ง และทุกวันพระใหญ่ วันพ่อ วันแม่
วันขึ้นปีใหม่ ดิฉันก็จะพาลูกชายไปตักบาตรที่เสถียรธรรมสถานเป็นประจำ
รวมทั้งค่ายอริยะ งานบุญ งานคอนเสิร์ต ดิฉันก็มักจะพาลูกไปอยู่เสมอ
จนเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของคนในชุมชนดี
…
ปีใหม่ ๒๕๕๔ นี้ นับเป็นปีที่แปดแล้ว ที่ดิฉันและลูกเข้ามาฟังธรรม
และร่วมกิจกรรมของสวนธรรมแห่งนี้
ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของท่านแม่ชี ที่ได้ให้คำสอนทางธรรมที่เป็นข้อคิด
ในการใช้ชีวิตและเลี้ยงลูกตามลำพัง
รู้สึกขอบคุณชุมชนเสถียรธรรมสถานและสถานที่คือสวนธรรมที่เป็นเสมือนบ้าน
หลังที่สองของดิฉันและลูก เป็นเหมือนที่พึ่งทางใจ เมื่อมีทุกข์ มีอุปสรรคในชีวิต
ทั้งเรื่องการเลี้ยงลูก การทำงานและอื่นๆ
..
แม้จะล้มลุกคลุกคลาน ผิดบ้างถูกบ้าง แต่ดิฉันก็ได้พาลูกผ่านมรสุมชีวิตมาจนถึงวันนี้
..วันที่ลูกชายเติบโตครบ ๑๐ ปี เป็นเพื่อนข้างกายแม่ในเกือบทุกยาม..และทุกๆที่..
ด้วยระลึกถึงคำสอนของท่านแม่ชีที่ว่า “ถ้าโลกอยากจะให้เด็กปลอดภัย ก็ต้องทำให้
‘หัวใจของผู้หญิง’ เป็น ‘หัวใจแม่...หัวใจโพธิสัตว์’
..ลมหายใจเข้า..
..ลมหายใจออก..
..ดั่งดอกไม้บาน..
..ภูผาใหญ่กว้าง..
..ดั่งสายน้ำฉ่ำเย็น..
..ดังนภาอากาศ..
..อันบางเบา..