สมาน ณ ฉัน


"สิ่งที่เราลงมือกระทำ จะดังกว่าสิ่งที่เราพูดเสมอ,คนทั่วไปมองสิ่งที่เรากระทำ มากกว่าเจตนา"

          ความดีเป็นเรื่องในอุดมคติเท่านั้นหรือ? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เราจัดการมันได้หรือไม่? อะไรคือความแตกต่างระหว่าง ความดี กับ ความชั่ว คำตอบมีรากเหง้ามาจากสิ่งเดียวกัน คือ “ความคิดของเรานั่นเอง” ดังนั้นการ สมาน จึงต้องเกิดที่ ฉัน เท่านั้น อย่าไปมุ่งที่คนอื่น

          เพราะหากฉันจะสมาน ไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไรฉันก็คงไม่ไปผูกใจเจ็บไว้ หรือหากฉันเคยไปผูกใจเจ็บไว้ ฉันจะเป็นผู้แก้ปมแก้เงื่อนนั้นด้วยตัวของฉันเอง ก็ในเมื่อฉันเป็นคนผูกมัน ฉันก็ต้องแก้มัน หากให้คนอื่นมาแก้เขาก็คงเกิดความยากลำบากที่จะต้องแก้ และหากเขาเกิดความยากลำบากเขาก็จะเลือกใช้วิธีลัด ที่ทำให้เกิดความรวดเร็วนั่นคือ ตัดมันออกเสียเลย! จบกัน.....

          การใช้คนกลางช่วยแก้ไขเป็นเรื่องที่เราอาจคิดว่าเป็นทางออกที่ดีและเหมาะสม ในความเป็นจริงไม่ต่างอะไรไปจากคนที่เข้ามาตัดเชือกเลย ตัดแล้วเขาก็หาวิธีต่อใหม่ให้ เนียน ที่สุด แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ การรับแรงดึงของเชือกก็จะลดน้อยลงไป หากออกแรงจนถึงจุดหนึ่งก็อาจจะขาดได้อีก ก็ต้องคอยต่อกันเรื่อยไป

          การ สมาน ณ ฉัน[๑] หมายถึง การที่ฉัน(ทั้งสองฝ่าย)ถูก กระตุ้นความใฝ่ดี ที่อยู่ในส่วนลึกของจิต(ส่วนที่เราเรียกว่า ความโหยหาทางจิตใจ)ด้วยความถี่ที่พอเหมาะพอควร จนเกิดพลังดันขึ้นไปทำลายสภาวะของอารมณ์ความรู้สึก(มีแต่บวกกับลบเท่านั้น)ก่อนจะแสดงเป็นการกระทำที่ซ้ำๆอย่างเด่นชัดจนกลายเป็น พฤติกรรม ที่แท้จริงออกมา คราวนี้มาพิจารณาสิ่งกระตุ้นความใฝ่ดี ถามว่าในสภาพแห่งความเป็นจริงมันมาจากไหนกันครับ?

          แรงจูงใจที่ทำให้ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา เกิดจากสิ่งเล็กๆในวิถีชีวิตของผมเอง เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งผู้เข้าอบรมท่านหนึ่งมาระบายความรู้สึกของเขาให้ผมฟังว่า มันเป็นความทรงจำที่ทำให้เขารู้สึกผิดต่อเพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเอง ถึงแม้เรื่องราวจะผ่านมากว่า ๒ ปีแล้ว ทุกวันนี้เขาก็ยังไม่ลืมเรื่องนี้ แต่ปัจจุบันเขาไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ผมสอบถามถึงข้อเท็จจริงก็พอจับประเด็นได้ว่า สาเหตุมาจากความไม่ชัดเจนกันเพียงครั้งเดียว แล้วต่างคนก็ต่างไม่พูดคุยกัน ไม่เคลียร์กัน หัวหน้าก็เจ้ายศเจ้าอย่างคิดว่าลูกน้องต้องมารายงาน แต่ลูกน้องก็ไม่ยอมมารายงานบอกกล่าวเหตุผลในเรื่องที่ไม่ชัดเจนนั้น ด้วยเจ้าตัวคิดว่าไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โต หรือสำคัญอะไรมากมาย แต่เหตุการณ์ความไม่ชัดเจนกันนี้ได้ผ่านไปตามบริบทของเวลา ล่วงเลยจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จนในที่สุดผู้ที่เป็นหัวหน้าได้รับการพิจารณาให้โอนย้ายไปรับผิดชอบในหน่วยงานอื่น ทุกวันนี้เขาก็ยังไม่ทราบถึงข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ครั้งนั้นที่เป็นชนวนทำให้เขากับลูกน้องไม่เข้าใจกัน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาก็มีความรู้สึกที่ดีต่อกันมาตลอดเวลา

          พอจะเห็นข้อเท็จจริงอะไรบางอย่างในกรณีศึกษานี้ไหมครับ? บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เห็นยากเลย ก็แค่สอบถามกันในสิ่งที่ไม่ชัดเจน ให้มันเคลียร์เท่านั้นก็จบ เวลาที่เรามองปัญหาในมุมมองของผู้ชม หรือโฆษกสนามทุกอย่างดูง่ายดายไปหมดแหละครับ เคยนั่งชมฟุตบอลกันไหมครับ หากเราไม่ใช่นักกีฬา ไม่ใช่ผู้เล่นในสนาม มันจะมีความรู้สึกว่า ทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้นะ ถ้าทำแบบนี้ได้ประตูไปแล้วอะไรประมาณนั้นเลยนะครับ แต่ลองลงไปเป็นนักกีฬา เป็นผู้เล่นเองซิครับแล้วจะรับรู้ได้ว่ามันไม่ง่ายอย่างที่เรานั่งดูเลย ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ของคนเรานั้น หากปล่อยเอาไว้โดยที่ไม่ได้รับการแก้ไขใดๆ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี การที่จะทำให้คนกลับมาเข้าใจกัน มีความสัมพันธ์กันในระดับเดิมนั้นเป็นเรื่องที่ยากถึงขั้นอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ได้ โดยเฉพาะหากคนรับรู้ด้วยความรู้สึกว่าพฤติกรรมของฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่มี ความรู้สำนึก  ต่างฝ่ายต่างก็จะผูกปมกันซ้อนแล้วซ้อนอีกหลายชั้น

          ในเมื่อร่วมกันผูกก็ต้องร่วมกันแก้เองครับ บุคคลที่สาม คนกลาง คนที่เข้ามาช่วยประนีประนอม ไกล่เกลี่ย เขาเป็นเพียงผู้ชม หรือโฆษกสนามเท่านั้น พวกเขาเหล่านี้ถ้าจะช่วยได้อย่างดีที่สุดก็อาจทำหน้าที่เป็น สิ่งกระตุ้นความใฝ่ดี โดยกระตุ้นความดีที่มีอยู่ในส่วนลึกของจิตใจทั้งสองฝ่ายมานำเสนอให้ทั้งสองฝ่ายได้เห็นซึ่งกันและกัน ไม่ใช่การชี้นำและตัดต่อนะครับ แต่ควรทำให้เขา(ทั้งสองฝ่าย)มีพลังใจในการนั่งเคลยร์ปม แก้ปมกันไปจนหมด

          ทุกวันนี้การทำให้คนที่ผูกปมรับรู้ได้ถึง ความใฝ่ดีในส่วนลึกจากจิตใจของตนเอง จากหน่วยงานที่มีหน้าที่เป็นคนกลางยังมีน้อยมากครับ ส่วนมากเป็นการชี้นำด้วยข้อมูลข้อเท็จจริงกันเสียมากกว่า ทำให้ดูเหมือนว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่มี ความรู้สำนึก เกิดขึ้นกันเลย หากปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนานวันอาจต้องพบกับความสูญเสียที่มากกว่านี้นะครับ

          การ สมาน เกิดจากตัวเราเองเท่านั้นนะครับ สอดคล้องกับแนวทางที่พระพุทธองค์ท่านได้สั่งสอนพวกเราไว้ว่า “ดีชั่วอยู่ที่ตัวเรา ใช่สิ่งอื่น” เหมาะสมแล้ว.....สาธุ


 


[๑] ผู้เขียนเจตนาใช้เป็นคำพ้องเสียงเท่านั้น รูปแบบการสะกดจึงไม่ตรงกับการเขียนที่ถูกต้อง

หมายเลขบันทึก: 416022เขียนเมื่อ 23 ธันวาคม 2010 14:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 17:44 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท