เดินจนอ่อนล้า... เพื่อตามล่าหาตะวัน (ผู้พิชิตภูกระดึง ตอน 2 )


โชคดีที่พวกเรามาถึงทันพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และร่วมร้องเพลงสดุดีมหาราชา ณ ภูกระดึง และคงเป็นปีที่เราจะจดจำไปตลอด
วันที่ 4 ธันวาคม เวลา 13.30 น.
พวกเราเดินทางจากหลังแป ไปถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ระยะทาง ประมาณ 5 กม.  ทางเดินเป็นทางราบ
เป็นหินลูกรัง และ ดินทรายเป็นระยะ  อากาศค่อนข้างเย็นสบาย ไม่ร้อนมาก  ข้างทาง เต็มไปด้วยป่าสน ดูสวย
งามเหมือนภาพฝัน
                  

                 

  เราเดินกันเป็นกลุ่มใหญ่ มองทางเดินตลอดทางเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่จุดหมายเดียวกัน  ไม่มีใครมีอา
การหนื่อยล้า รู้สึกสนุก  เดินไปคุยกันไป หยอกล้อกันไป  ประมาณบ่าย 3 โมงพวกเราก็ถึงศูนย์บริการนัก
ท่องเที่ยว สำหรับคนที่ยังไม่มีที่พัก จะได้ไปติดต่อเรื่องที่พัก  สำหรับคนที่เตรียมเต็นท์มาเองก็จะมีสถานที่ให้
กางเต็นท์  ทีมงานของเราได้ติดต่อเรื่องเต็นท์ที่พักไว้แล้ว จึงง่ายหน่อย  สำหรับค่าเช่าเต็นท์และถุงนอน คืน
ละ 320 บาท 2 คืนก็ 640  บาทพอดี( เต็นท์นึงนอนได้ 2 คน )
                
 
หลังจากได้ที่พักแล้วแต่ละคนก็พักผ่อนตามอัธยาศัย   ส่วนห้องน้ำ จะเล็กมาก ทั้งโถส้วม และถังน้ำ จะอยู่ชิด
กัน แทบจะไม่มีที่ยืนอาบน้ำ   น้ำจะเย็นมาก แต่ก็อาบได้สบายๆ เพราะเจอฝุ่น และเหนื่อยมาทั้งวัน มีน้องๆบาง
คนเจอทากในห้องน้ำด้วย ทำให้เราเกิดอาการหวาดระแวงเหมือนกัน  หลังจากอาบบน้ำได้นอนพักผ่อนคนละ
งีบ อาการสดชื่น ก็กลับมา 
ท้องฟ้าเริ่มมืด อากาศเริ่มเย็นมากขึ้น ท้องเริมหิวฉันจึงเริมเดินไปซื้ออาหาร  อาหารที่นี่ ราคา เริ่มต้นที่ 50บาท
ข้าวราดแกง 2 อย่าง 60 บาท  โจ๊ก 50 บาท น้ำดื่มขวดเล็ก 20 บาท  ขวดใหญ่ 40 บาท กาแฟ แก้วละ 20 ละ
บาท อาหารมีให้เลือกหลายร้าน กับข้าวหลากหลายมาก  
      คืนนี้กลุ่มของพวกเรามีสังสรรค์กันนิดหน่อย  ประมาณ 4 ทุ่มก็เริ่มเข้านอน  เรามีนัดดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผา
นกแอ่น เวลา 05.30 น. จึงต้องรีบเข้านอน  คืนนี้นอนไม่ค่อยหลับ เพราะ แปลกที่ ซ้ำยังได้ยินเสียงกรนเต็นท์
ข้างๆ รวมทั้งคนที่นอนอยู่ข้างๆด้วย  เสียงนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นร้องเพลง  พูดคุย กันเป็นระยะ  กว่าจะหลับได้
ก็ปาเข้าไปเวลา ตี 1 กว่า
วันที่ 5 ธันวาคม 
ตื่นนอน ตีห้า ทำธุระสวนตัว แล้วเวลา ตี ห้าครึ่ง พวกเราก็พากันเดินมุ่งหน้าสู่ ผานกแอ่น เพื่อให้ทันดูพระ
อาทิตย์ขึ้น  เราเดินมาถึง ผานกแอ่นใช้เวลา ประมาณ 30 นาที สำหรับคนที่เดินเร็ว เมื่อมาถึงเจอนักท่องเที่ยว
ที่มารอดูพระอาทิตย์ขึ้น เยอะมาก น่าจะ เกือบพันคนได้ ทุกคนเตรียมกล้อง เพื่อที่จะเก็บภาพ แห่งความทรง
จำที่สวยงามเอาไว้ (ทั้งๆที่พระอาทตย์ขึ้นที่บ้านเรา เราก็ไม่เคยสนใจที่จะดู ด้วยควาตั้งใจขนาดนี้)

                     

                

ขากลับจากดูพระอาทิตย์ขึ้นพวกเราเดินกลับมาทางลานพระแก้ว แวะไหว้พระ  ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก  ขาไป
และกลับ เดินเป็นระยะทาง ประณ 6 กม   เมื่อกลับมาถึงที่พัก  ทำธุระส่วนตัว เรียบร้อยกลุ่มพวกเราจึงไปทาน
ข้าว และสั่งข้าวห่อ เพื่อไปเดินป่า
            วันนี้ได้เจอดารา น้องใบเฟิร์นที่แสดงเป็น มะลิในนักสู้พันธ์ข้าวเหนียว ด้วยความสวยที่ไม่เหมือนใคร
และเป็นดาราที่ลูกๆชื่นชอบฉันจึงไปขอถ่ายภาพกับน้องใบเฟิร์น( นำภาพมาฝากด้วยค่ะ)

                    

เมื่อทานข้าวแล้วทีมของเราก็ออกเดินทางต่อ โดยจุดหมายแรกก็คือน้ำตก วังกวาง  น้ำก็ค่อนข้างน้อย พวก
เราเดินตามเส้นทางน้ำตกโผนพบ ที่นี่เราได้พบกับต้นเมเปิล ซึ่งใบเริ่มมีสีแดง ดูแปลกตา ไม่เหมือนอยู่เมือง
ไทย
            
 
                    
    พวกเราเดินตามเส้นทางเดินป่าไปเรื่อยๆ เหมือนสมัยเรียนเนตรนารี แล้วมาเข้าค่ายพักแรมเดินป่ายังไง ยัง
งั้น มีควาสุขไปอีกแบบ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในประเทศไทย  จากน้ำตกโผนพบ  เพ็ญพบ  และเพ็ญพบใหม่
จนกระทั่งน้ำตกถ้ำใหญ่ ตลอดเส้นทางเป็นป่าดิบชื้น ต้นไม้ค่อนข้างหนาแน่น  เต็มไปด้วยมอส และ เฟิร์น
ตามสองข้างทาง  พวกเราพักทานข้าวกลางวันที่ทางทางออกของน้ำตกถ้ำใหญ่  ถ้าไม่เตรียมอาหารมาด้วยก็
คงแย่เหมือนกันเพราะตลอดเส้นทางไม่มีร้านอาหารขายเลย (เส้นทางน้ำตก )
               
             
          
                             
หลังจากนั้นพวกเราลัดมาทาง  ผานาน้อย   สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นสน  และทุ่งเฟิร์น เส้นทางนี้ไม่ค่อยมี
นักท่องเที่ยวเดิน มากนัก  เจ้าหน้าที่ติดป้ายห้ามผ่าน หลัง เวลา 15.00น. เพราะกลัวสัตว์ป่า  เมื่อเดินมาถึงผา
นาน้อย มีร้านอาหารขาย มีจุดชมวิวพวกเราเดินตามทางหน้าผา  ได้ชมวิว  บรรยากาศ ข้างทาง เพราะน้อง
กอล์ฟบอกว่าขากลับจะมืดเราจะมองไม่เห็นวิว ช่วงนี้เราเริ่เห็นนักท่องเที่ยวปั่นจักรยานเป็นระยะ ๆ บ้างก็จูงก็
มี เพราะทางเป็นดินทราย น้องส้ม เดินมาก ถึงกับเป็นตะคริว ดีที่เรามีผู้ช่วยกายภาพไปด้วยทำให้ได้นวดให้
และเรายังเจอน้ำใจจากเพื่อนร่วมทาง ซึ่งเตรียม สเปรย์แก้ปวดไปด้วย  ขอบคุณสำหรับน้ำใจคนไทยจริงๆ ค่ะ
                 
                                    

 

                

ผ่านไปหลายหน้าผา ไม่ว่าจะเป็นผาแดง ขอบอกว่าส้มตำอร่อยมาก  หน้าผาก็สวย ถึง ผาเหยีบบเมฆ  จน
กระทั่งถึงผาหล่มสัก เราถึงเวลา 16.15 น. คนก็เยอะเหมือนเคย เราเริ่มหามุมถ่ายภาพ  และนั่งพักเหนื่อย
นวดขาให้กันเพราะถ้านั่งพักนานๆ จะรู้สึกปวดมาก

               

           

ว่าจะพากันรอดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก แต่ว่า คนเยอะ  หมอกก็เยอะ เราเลยพากันเดินกลับดีกว่า เพราะ
ยังไงก็คงถึงที่พักมืดแน่ๆ  แต่ละคนเริ่มเหนื่อยล้า แทบจะก้าวขาไม่ออก เราเดินมาถึงผาเหยียบเมฆ  เริ่มมอง
เห็นพระอาทิตย์ตกพอดี จึงได้ภาพ พระอาทิตย์ตก ที่ผาเหยียบเมฆ แทนผาหล่มสัก
                                      

                    

                  

หลังจากนั้นจึงพากันเดินทางกลับที่พัก โดยเดินเลียบหน้าผา ไปทางผาหมากดูก ขณะเดินทางกลับเรามี
กิจกรรมเล่นต่อเพลง ไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางความมืดของขุนเขา คนที่เดินทางเริ่มน้อย เพราะต้องอาศัยการ
เดินเป็นหมู่คณะ  จะได้ไม่น่ากลัว และต้องอาศัแสงไฟจากไฟฉาย เสียงเพลง และเสียงหัวเราะทำให้เราลืม
ความเหนื่อยล้า  กลับถึงที่พัก เวลา 2 ทุ่ม ซึ่งขณะนั้นกำลังทำพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพร พอดี  โชคดีที่พวก
เรามาถึงทันพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และร่วมร้องเพลงสดุดีมหาราชา ณ ภู
กระดึง และคงเป็นปีที่เราจะจดจำไปตลอด
          ตอนนี้ต้องขอบอกว่าเหนื่อยมาก ปวดขามาก ๆฉันได้อาบน้ำ  พักผ่อน ทานข้าวเย็น และต่างพากันนวด
ขาให้กันสงสารน้องส้ม ปวดขาจนร้องไห้ น้องเดียร์ตัวใหญ่กว่าเพื่อน เท้ารับน้ำหนักมาก เท้าพอง เป็นแผล
ตามมา  แต่ฉันก็รู้สึกดีที่โอกาสได้เที่ยวที่ภูกระดึง
        และ...วัย..ไม่ใช่อุปสรรคในการไปภูกระดึงอีกต่อไปขอให้ร่างกาย และใจพร้อม  อีกอย่างถ้าเราได้มี
โอกาสเกี่ยวก้อยเดินกับคนที่เรารัก ทั้งๆที่ผ่านช่วงคบกันมาตั้ง สิบสี่ ปี มันคงทำให้เราระลึกถึงวันที่รักกัน
ใหม่ๆ ได้เช่นกันนะคะ  สวัสดีค่ะ...
                                          สุมาลี   นามนวด 
คำสำคัญ (Tags): #จ.เลย#ภูกระดึง
หมายเลขบันทึก: 413736เขียนเมื่อ 14 ธันวาคม 2010 16:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 11:10 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

มาดูบรรยากาศ ฟ้าสีสัน สวยงามมากเลยค่ะ ชอบผาเหยียบเมฆ กะผาหมากดูก ชอบๆ อ่านแล้วนึกถึงครั้งแรกที่ไป เมื่อก่อนไม่มีร้านรวงอะไรเลย แต่เอ รอบสองจะไหวไหมเนี่ย .. ยินดีด้วยนะคะ ที่ได้จุดเทียนถวายพระพร ในบรรยากาศนั้น สุขสันต์ ขอบคุณค่ะ

ไปมาแล้วค่ะ แต่ปีนี้ก็ยังอยากไปอีก ไปมา 2 ครั้งแล้ว 2 ปีติดกันเลยแต่เพื่อนที่ไปด้วยคนละคณะกัน ปีนี้ชวนใครไปก็ไม่มีใครอยากไปภูกระดึงเลย ไม่มีเพื่อนไป ถ้ามีเพื่อนก็อาจจะไปก็ได้ เพราะชอบบรรยากาศมาก ทางขึ้นมันลำบากแทบขาดใจ แต่เป็นการฝึกความอดทนเรา พอได้สัมผัสอากาศหนาว ที่หนาวจับใจ หนาวเข้ากระดูก หนาวได้ใจจริง ๆ สุดจะบรรยาย รู้สึกดีมากๆ เลยค่ะ บอกไม่ถูก มันเหมือนกับว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เป็นหิน เป็นดิน เป็นต้นไม้ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติบนนั้นเลยก็ว่าได้ ดิฉันรู้สึกอย่างนั้น จริง ๆ ส่วนอาหารก็อร่อยทุกร้าน ราคาก็สมเหตุสมผล จะบอกว่าถูกก็ไม่ใช่ แพงก็ไม่เชิง ก็สมเหตุสมผลค่ะ เพราะเขาแบกตั้งแต่ชั้นล่างขึ้นไปขายให้เรา ขนาดเราเดินขึ้นเฉย ๆ ไม่ได้แบกอะไร ยังจะไม่รอด แต่ลูกหาบนี่สุดยอดเลย ยกนิ้วให้ ภาพถ่ายบนภูสวยดีนะคะ ตอนที่ดิฉันไปยังไม่ได้ภาพพวกนี้เลย เพราะคนเยอะ ขี้เกียจไปแย่งถ่าย ได้แต่ถ่ายที่ที่เขาไม่ถ่ายกัน คือไม่มีคนน่ะค่ะ...

สวยมากค่ะ

พี่เคยไปนานมากแล้ว

อยากไปอีกคงไม่ไหวแล้ว

ขอเป็นกำลังใจให้นะคะพี่ poo ยังไงก็ขอให้มีความสุขมากๆ ในการไปเที่ยวภูกระดึงรอบสอง

ถึงเหนื่อยแต่ก็คุ้มค่าค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณเบญจพร ขุนเรศ ดีใจที่เจอคนที่ชอบเหมือนกันค่ะ

ภาพถ่ายสวยเพราะเรามีตากล้องประจำอำเภอ สีชมพูไปด้วยค่ะ

เป็นคนเดียวที่ไปเดี่ยว (ไม่มีคู่ ) จึงชอบถ่ายภาพให้เพื่อนๆ ค่ะ

สวัสดีค่ะ พี่แก้ว

แค่พี่แก้วแวะมาเยี่ยมก็ดีใจแล้วค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่ขึ้นภูกระดึง

ขากลับโชคดีที่ลาพักผ่อนไว้ ปวดขาอยู่ 3 วันค่ะ

สวัสดีอีกครั้งครับ

  • ใกล้ปีใหม่ขออวยพรให้คุณติ๋ม และครอบครัว มีความสุขมากๆนะครับ
  • ถ้ากายใจยังพร้อมเอาไว้ปีหน้า ช่วง 5 ธันวา 54 เจอกันที่ "ภูกระดึง"นะครับ
  • โชคดีมีสุขตลอดไป
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท