บันทึกนาทีชีวิต ๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ เวลา ๒๒:๔๙ น.


คนเราไม่สามารถล่วงรู้ได้หรอกว่า วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตหรือเปล่า สิ่งที่เราจะรับรู้ได้คือลมหายใจเข้าออกทุกๆวินาทีเท่านั้น เหตุการณ์นี้อาจไม่ได้เป็นเรื่องราวที่ใหญ่โตในระดับประเทศ และอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับบางคน แต่สำหรับผมในชีวิตนี้มันยิ่งใหญ่มากกับการนำเอาชีวิตตนเองมาเป็นเดิมพัน โดยเชื่อมั่นในประสบการณ์ตนเองที่ผ่านมาซึ่งมันไม่ใช่!

            คืนวันเสาร์ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ เวลาประมาณเกือบๆห้าทุ่ม ผมขับรถกลับจากไปเข้าร่วมงานแต่งงานแถวลาดกระบัง วันนี้ตั้งแต่เช้าผมมีความรู้สึกว่าตัวเองสภาพไม่ค่อยดีตั้งแต่เช้า มันร้อนๆหนาวๆและปวดเมื่อยตามเนื้อตัวไปหมด จึงไปขอยาแก้ปวดลดไข้ที่ห้องพยาบาลทานตั้งแต่เช้า กลางวัน เย็น และก่อนไปงานแต่ง รวมแล้วประมาณ ๘ เม็ด เนื่องจากประสบการณ์เดิมๆในชีวิตผมที่ผ่านมายังไม่เคยพบกับข้อผิดพลาดที่เป็นนาทีเป็นนาทีตาย โดยเอาชีวิตตนเองวางเป็นเดิมพันไว้ หลายครั้งหลายหนผมเคยตกอยู่ในลักษณะเช่นนี้แต่ก็แคล้วคลาดรอดมาโดยตลอด มีเฉียดบ้าง เสียวบ้าง แต่ตัวผมก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับความเสี่ยงเช่นนี้ กลับมองว่าเป็นเรื่องปรกติในชีวิตไป และคืนนี้ก็เช่นกันผมคิดแต่เพียงว่า “เราต้องถึงบ้าน เราต้องถึงบ้าน ถึงบ้านเจอหน้าลูกเมียเมื่อไหร่จะนอนให้หน่ำใจเลย เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุด.....แต่แล้วมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับผม ผมไปไม่ถึงบ้านเสียแล้ว

            พอจะจับเรื่องราวได้ว่า ผมวิ่งมาสุดท้ายวงแหวนตะวันตก เข้าช่องซ้ายเพื่อที่จะเข้าไปตัวเมืองอยุธยา ตรงนั้นเป็นช่วงลงสะพานโค้งทางซ้ายรับกับทางหลัก ผมมารู้สึกตัวอย่างมีสติอีกทีก็คือ รถได้ลงไปวิ่งอยู่ในร่องเกาะกลางถนนขนาดใหญ่(ผมจำได้ว่าความเร็วรถตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ ๘๐ กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง) ไม่มีรอยเบรค ความรู้สึกผมตอนนั้นเหมือนกับขับรถลงทางที่ขุขระมากๆแล้วไม่ได้เบรคหรือลดความเร็วของรถเลย แรงกระแทกที่รุนแรงส่งผลต่อซีกหน้าทางขวาจนมาถึงประตูคนขับยับยู่ยี่ไม่เหลือชิ้นดี ส่งผลต่อการบิดตัวของแชสซีสหน้าขวาชุดปีกนกล้อหน้าขวา เสากระจก กระจก และหลังคาบางส่วนบริเวณซีกขวา ผมติดอยู่ที่เบาะประมาณ ๑๐ นาที เนื่องจากแรงกระแทกที่ทำให้จุกและขาที่ถูกบีบติดกับคอลโซลหน้าและพวงมาลัย ตอนแรงขยับตัวไม่ได้เลย แต่พอหายจุกแล้วก็ค่อยๆขยับขาทั้งสองข้างออกแล้วปีนออกฝั่งประตูด้านซ้าย ออกมาได้คิดอะไรยังไม่ออกรู้อย่างเดียวว่าเอาชีวิตให้รอดปลอดภัยก่อน และหลังจากนั้นสำรวจทรัพย์สินภายใน ความเสียหายของรถตัวรถโดยรวม เก็บรวบรวมชิ้นส่วนที่หลุดออกนอกตัวรถเก็บมาไว้ในกระบะข้างหลัง โทรแจ้งเหตุกับภรรยาที่บ้าน ตอนนั้นพี่ที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงงานเบียร์ช้าง เข้ามาให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีมากๆ ช่วยเรียกรถลากและพี่เจ้าหน้าที่มาคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ ๕-๖ คน พี่ๆทุกคนในวันนั้นให้การช่วยเหลือผมเป็นอย่างดี ถามถึงอาการบาดเจ็บ ซึ่งในเวลานั้นผมทราบแต่เพียงว่ามีบาดแผลที่มือสองข้างเท่านั้น

            หลังจากเตรียมการลากรถเสร็จเรียบร้อย ค่อยๆนำรถจากเกาะกลางเข้ามาข้างทางด้านซ้ายผมก็รอภรรยาขับรถจากบ้านที่ตัวเมืองอยุธยามารับด้วย ระหว่างนั้นก็คุยกับพี่ๆทีมกู้ภัยที่มาช่วยเหลือ เล่าเหตุการณ์ให้เขาฟัง เขาก็บอกว่าผมโชคดีมากๆเลย อาจเป็นเพียงไม่กี่รายที่รอดมาในสภาพที่ไม่บาดเจ็บมากนัก เพราะถ้าช่วงนั้นรถข้ามไปอีกฝั่งซึ่งเป็นช่องทางด่วนรถใช้ความเร็วสูงๆ อาจเกิดความรุนแรงมากกว่านี้ ผมก็เล่าให้เขาฟังต่อว่าผมจำได้แม่นยำว่าช่วงนั้นถนนช่องทางคู่ขนานที่ผมขับมาและช่องทางด่วนไม่มีรถตามผมมาเลย แต่ผมก็วูบไปตอนไหนไม่ทราบได้ รู้อีกทีก็คือรถวิ่งกระแทกอยู่ในเกาะกลางถนนแล้ว สิ่งที่ผมทำได้ตอนนั้นก็คือเอารถกลับขึ้นไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งรถไปหยุดอยู่ตรงข้างแท่งปูนบอกหลักกิโลขนาดใหญ่หน้าโรงงานเบียร์ช้างพอดี เสียงแตรรถดั่งลั่นเนื่องจากสวิทช์แตรที่พวงมาลัยค้างอยู่ พวกพี่ที่มาช่วยก็ดึงสายไฟที่ตัวแตรออกจึงหยุดดัง ระหว่างรอภรรยามารับก็เล่าให้พี่ๆเขาฟัง

            ตั้งแต่ขับรถมาเป็นสิบๆปี อุบัติเหตุครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีความรุนแรงที่สุด และไม่มีคู่กรณีเป็นผู้กระทำ (ผมทำตัวผมเอง) ส่วนมากที่เคยเจอก็เป็นเฉี่ยวชนบ้างเล็กๆน้อยๆจากผู้อื่น แน่นอนครับเหตุการณ์ในครั้งนี้ให้ข้อคิดกับตัวผมเองหลายๆอย่างที่อยากจะนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นข้อคิด เป็นข้อมูลการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงโดยผ่านการใช้วิจารณญาณของแต่ละท่าน ดังนี้นะครับ

            ๑. อย่าใช้ประสบการณ์เดิมๆมาสร้างความเชื่อมั่นให้ตนเองจนเรามองข้าม ความเสี่ยงในการใช้ชีวิตไป เนื่องจากประสบการณ์ก็คือ สภาวะการกระทำที่ซ้ำๆแล้วให้ผลในขณะช่วงเวลาสั้นๆ จึงไม่สามารถนำผลที่ได้ไปทำนายอนาคตได้ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการสูญเสียสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ นั่นคือชีวิตของเราด้วย ข้อนี้คือสิ่งที่ผิดพลาดของผมอย่างมาก คนเราจะตระหนักต่อเมื่อได้ผ่านเหตุการณ์มาใหม่ๆแต่หลังจากนั้นเราก็จะค่อยๆลืมเลือนความตระหนักนั้นไปตามกาลเวลา......จนวันหนึ่งเมื่อเราเกือบจะพลาดพลั้งอีก.....เราก็จะกลับมาตระหนักกับเหตุการณ์นั้นอีกระยะหนึ่งและค่อยๆลืมเลือนไปนี่คือวัฎจักรที่อันตราย ที่กำลังจะบอกกับเราว่า “หากเราทำเหตุซึ่งก็คือการดำเนินวิถีชีวิตอยู่ในลักษณะเช่นนี้ต่อไป ไม่วันใดก็วันหนึ่งมันต้องพบกับผลที่เราอาจจะไม่สามารถมีความโชคดีมานั่งทบทวนความผิดพลาดของตนเองได้อีกต่อไปก็เป็นได้”

            ๒.  การเตรียมสภาพรถให้พร้อมใช้งานเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องอย่าลืมประเมินสภาพตนเองด้วย ความฝืนจากสภาพร่างกายที่ไม่พร้อม เช่น เป็นไข้ ไม่สบาย และผู้ที่ต้องทานยาเป็นประจำ (โดยเฉพาะยาที่มีผลต่อการขับรถ) ผมว่ามันอาจจะร้ายกาจกว่าความเมา ความง่วงเสียด้วยซ้ำ เพราะสามัญสำนึกจะเป็นตัวประเมินโดยดึงข้อมูลจากประสบการณ์เดิมๆว่าเราเคยทำได้ เราเคยรอดและปลอดภัย เราเคยขับถึงบ้าน มันก็จะเกิดความดันทุลังฝืนดันไปให้ถึงจุดหมายปลายทางให้ได้ สิ่งนี้สำหรับผมมองว่าเป็นอันตราย ผมเคยมีประสบการณ์เมาแล้วขับ ง่วงแล้วขับมาบ้างเหมือนกันเมื่อถึงที่สุดผมก็จะหาจุดจอดแล้วนอนสัก ๑-๒ ชั่วโมง พอตื่นมาก็ขับต่อได้ แต่ทำไมครั้งนี้ผมถึงไม่คิดที่จะจอดนอนเสียก่อน? ก็เพราะใจผมกลับไปหาลูกหาภรรยาตั้งแต่เช้าแล้ว

            ๓.  อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นคือ ผล ซึ่งมาจาก เหตุ ที่ลงตัวและสอดคล้องกัน เรื่องนี้ผมเชื่อเพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ คือเรื่องของ ปัจจัย สู่เหตุ ปัจจัยเป็นองค์ประกอบที่มีความหลายหลากและที่สำคัญหากวินิจฉัยลึกๆลงไปก็น่าคิดอยู่ว่า มันเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์อย่างเดียวหรือไม่? เพราะบางเรื่องบางปัจจัยหาคำตอบไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ก่อนเกิดเหตุประมาณ ๓ เดือน ภรรยาผมจะคอยเตือนเรื่องการขับรถอย่างเน้นย้ำมากกว่าปรกติมาตลอดจนวันถึงวันที่ผมประสบอุบัติเหตุ เหมือนเขาจะรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับผม คืนวันเกิดเหตุผมโทรหาภรรยาผมเป็นคนแรก พอมาถึงที่เกิดเหตุเขาไม่ได้ตระหนกตกใจอะไรมากมาย เลยทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นมาบ้างหลังจากที่ผมเห็นสภาพรถแล้วหดหู่เหลือเกิน เหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้สอดคล้องกับข้อมูลส่วนตัวของผม ที่ผมสังเกตตัวเองระยะ๔-๕ ปี ที่ผ่านมาพบว่า ช่วงที่มีเหตุไม่ดีเกิดกับตัวผมมากที่สุดจะเป็นช่วงเดือน พ.ย. จนถึงประมาณกลางเดือน ธ.ค. เป็นอย่างนี้มาตลอดเลยครับ (ตอนแรกผมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เท่าใดนัก) มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อโปรดใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลด้วยนะครับ

            ๔.  ในยามที่ชีวิตเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ไม่มีใครเป็นที่พึ่งพาให้กับเราได้ดีที่สุดเท่ากับตัวเราเอง สติ เป็นเรื่องที่สำคัญกับชีวิตเรามากๆ เพราะเป็นเหตุทำให้เกิด ปัญญา เพื่อนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากลำบาก รองลงมาหาเราไม่สามารถคงสติเพื่อช่วยเหลือตนเองได้นั่นก็คือ กัลยาณมิตร รอบตัวเรา ผู้ที่ไม่มุ่งหวังผลประโยชน์ใดๆกับเราช่วยเหลือด้วยเมตาจิต ความกรุณา อย่างแท้จริงและจริงใจ สำหรับประสบการณ์ของผมที่ผ่านความทุกข์ยากลำบากทุกครั้งบอกได้เลยว่า มันเป็นความผมโชคดีของผมอย่างหนึ่งคือ ได้พบเจอแต่คนดี ที่เต็มใจให้ความช่วยเหลือ และไม่ได้มาคอยซ้ำเติมเรา ต้องขอขอบคุณพี่ๆเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าโรงงานเบียร์ช้าง และพี่ๆทีมกู้ภัยทุกท่าน รวมไปถึงพี่ที่อู่ซ่อมรถแถววังน้อย ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับที่ให้ความเมตตากับผมในเหตุการณ์ครั้งนี้

            ๕.   คนที่เป็นห่วงเรามากที่สุด คือ ภรรยาและลูก คนในครอบครัวเรา ในยามที่เราย่ำแย่ รู้สึกไม่ดี คนในครอบครัวจะเป็นพลังใจให้เราได้เป็นอย่างดีที่สุด และจริงใจที่สุด ซึ่งคนอื่นๆไม่สามารถเป็นให้เราได้ในเวลานั้น ถึงแม้ว่าในเวลาปรกติอาจมีความไม่เข้าใจกันอยู่บ้าง ทะเลาะกันบ้าง แต่ก็ไม่ใช่สาระสำคัญนักในเวลานั้น เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่าทำไมเราจึงไม่ห่วงตัวเอง แน่นอนครับนี่คือเรื่องจริงที่ผมจะถ่ายทอดให้ทุกท่านได้รับรู้เป็นข้อมูลเอาไว้.....

            ทุกครั้งก่อนเดินทางมาทำงานในเช้ามืดวันจันทร์ ทุกๆครั้งผมจะก้มลงหอมลูกสาวผมแล้วอธิฐานในใจเสมอทุกครั้งว่า “ขอให้ลูกแคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งปวง แต่หากเลี่ยงไม่ได้ผมจะเป็นผู้รับภัยนั้นไว้เอง” ผมอธิฐานจากจิตที่มุ่งมั่นทุกครั้ง เพื่อลูกจะได้แคล้วคลาด และปลอดภัย ผมไม่เคยห่วงตัวเอง โดยเฉพาะเพื่อลูกและครอบครัวแล้ว ผมพร้อมที่จะเป็นได้ทุกอย่างตามกรรมลิขิตให้เป็น ผมรู้ดีนะครับว่าเรื่องของกรรมเป็นเรื่องปัจเจก เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่สามารถหักกลบลบหนี้กันได้ แต่ผมก็เชื่อในพลังแห่งความรักที่เป็นพลังอันยิ่งใหญ่และมหาศาลในการหลอมกรรมให้เข้าเป็นวาระ เป็นเหตุเป็นปัจจัยเดียวกันได้ พลังแห่งความรักที่คุณพ่อคุณแม่มีให้กับลูกๆ มันจึงมีส่วนช่วยลดแรงกระทำในกรรมไม่ดีที่มันกำลังตอบสนองลงได้บ้าง

            ยินดีอย่างมากหากประสบการณ์ของผมสามารถเป็นบทเรียนต่อยอดองค์ความรู้ให้กับอีกหลายๆคนได้ อย่างน้อยเป็นข้อคิดเอาไว้เตือนสติ เพราะผมเชื่อว่ามีหลายคนที่เขาเคยประสบเหตุการณ์คล้ายๆกับผมที่เขาอยากจะบอกนะ แต่พวกเขาไม่มีโอกาสได้บอก.....

หมายเลขบันทึก: 413469เขียนเมื่อ 13 ธันวาคม 2010 14:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 23:19 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
  • สวัสดีค่ะ
  • ได้อ่าน "บันทึกนาทีชีวิต" โชคดีแล้วค่ะที่ไม่เป็นไรมาก... บุษราก็เคยเจอเหตุการณ์อันไม่คาดฝันมาเหมือนกันค่ะ  "รถชน" บาดเจ็บเล็กน้อย...แต่คุณพ่อ คุณแม่ และน้อง ๆ เจ็บหนัก ถือว่าฟาดเคราะห์ไป.... ปีใหม่นี้คงมีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตแน่นอนค่ะ
  • ขอบคุณที่นำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังค่ะ

                             

ต้องขอขอบคุณ คุณบุษรา มากๆครับที่ให้กำลังใจ เช่นกันนะครับ ปีหน้าฟ้าใหม่ขอให้ประสบแต่ความสุข ความโชคดี ตลอดไปเลยนะครับผม

ยินดีมากครับสำหรับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับกัลยาณมิตรที่ดีทุกๆท่าน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท