12. พ.ศ.2516 – 2519 สร้างกุฏิเจ้าอาวาส อยู่ริมคลองติดกับศาลาการเปรียญหลังปัจจุบัน
กุฏิเจ้าอาวาส อยู่ริมคลอง ติดกับศาลาการเปรียญหลังปัจจุบัน
ที่มา : (โดยสุเทพ สอนทิม)
13. พ.ศ. 2518 ขุดสระน้ำแห่งที่ 2 เพื่อใช้เป็นที่เก็บน้ำสำหรับทำน้ำประปา
14. พ.ศ. 2520 จัดสร้างโรงเรียนบ้านทับคล้อ โดยขอที่ดินด้านหลังตลาดทับคล้อจากแม่น้อย บุญช่วย 6 ไร่ และนายประไพ นางละบิล เฉื่อยฉ่ำ อีก 12 ไร่ รวมเป็นเนื้อที่ 18 ไร่ สร้างอาคารเรียนกว้าง 8.50 เมตร ยาว 20 เมตร
15. พ.ศ. 2520 – 2524 ก่อสร้างโรงเรียนปริยัติธรรม เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น ขนาดกว้าง 10 เมตร ยาว 30 เมตร
โรงเรียนปริยัติธรรม เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น
ที่มา : (โดยสุเทพ สอนทิม)
โรงเรียนปริยัติธรรม
ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่เรียนของวิทยาลัยชุมชนพิจิตร วิทยาเขตทับคล้อ
ที่มา : (โดยสุเทพ สอนทิม)
16. พ.ศ. 2522 ช่วยเหลือสร้างที่ว่าการอำเภอ พระเทพญาณเวทีสร้างวัตถุมงคลขึ้นรุ่นหนึ่งชื่อว่า “รุ่นเงินมา” เพื่อแจกให้ประชาชนที่ร่วมบริจาคทรัพย์ในการก่อสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น
17. พ.ศ. 2524 – 2526 สร้างถาวรวัตถุเพิ่มเติมขึ้นอีกมากมาย คือ สร้างห้องน้ำ 10 ห้อง กว้าง 10 ศอก ยาว 10 วา สร้างศาลาธรรมสังเวชคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว กว้าง 6 วา ยาว 12 วา สร้างกุฏิทรงไทยประยุกต์รวม 4 หลัง สร้างอาคารหุงข้าว อาคารโรงกำเนิดไฟฟ้า ฯลฯ
18. พ.ศ. 2526 จัดหาที่ดินเพื่อทำการก่อสร้างที่ว่าการกิ่งอำเภอและสถานีตำรวจ นอกจากนั้นในการก่อสร้างอาคารที่ว่าการกิ่งอำเภอทับคล้อ และสถานีตำรวจนั้น พระเทพญาณเวทีได้มีส่วนร่วมในการขุดสระน้ำขึ้นอีก 1 สระ
19. พ.ศ. 2526 ได้รับใบประกาศนียบัตรเกียรติคุณชั้นพิเศษ และสำนักเรียนพระปริยัติธรรมตัวอย่างของกรมศาสนา
20. พ.ศ. 2526 – 2527 เป็นกรรมการที่ปรึกษาการประชุมเจ้าสำนักเรียนทั่วประเทศร่วมกับกรมศาสนา ที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวราราม กรุงเทพมหานคร
21. พ.ศ. 2528 ได้รับเกียรติและโล่จากคณะกรรมการอำนวยการงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชา ในพระสังฆราชูปถัมภ์อันเป็นเครื่องแสดงว่าสำนักศาสนศึกษาพระปริยัติธรรมวัดมงคลทับคล้อเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา
22. พ.ศ. 2528 ได้รับประกาศนียบัตรพัฒนา ตามโครงการพัฒนาวัดทั่วราชอาณาจักรของรัฐบาล สมควรเป็นตัวอย่างแก่วัดพระพุทธศาสนาในราชอาณาจักร
23. จัดสร้างวัด ณ หมู่บ้านเนินม่วง ตำบลท้ายทุ่ง อำเภอตะพานหิน
จังหวัดพิจิตร โดยสร้างกุฏิ 2 หลัง หอสวดมนต์ 1 หลัง ศาลาการเปรียญ 1 หลัง
24. วันที่ 2 ม.ค. 2530 จัดตั้งโรงพยาบาลสาขา โดยขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน ต่อมาวันที่ 1 พ.ย. 2530 จึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นโรงพยาบาลทับคล้อ
25. พ.ศ. 2530 จัดสร้างตึกผ่าตัดและห้อง ไอ.ซี.ยู. โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร นับว่าผลงานด้านการก่อสร้างของท่าน สร้างคุณประโยชน์และความเจริญก้าวหน้าให้กับท้องถิ่นอย่างมาก
3. คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง
พระเทพญาณเวที มีคุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง ดังนี้
3.1 เปี่ยมด้วยเมตตา
ลูกศิษย์ที่มาอยู่ ไม่ว่าพระภิกษุ สามเณร หรือลูกศิษย์วัดอยู่กันแบบสบายใจ มีความสุข เพราะพระเทพญาณเวทีมีเมตตากับคนทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ด้วยกันวันเดียวหรือกี่ปีกี่วัน จะเป็นเด็ก หรือพระนวกะผู้บวชระยะหนึ่งก็ตาม พระเทพญาณเวทีคอยเอาใจใส่ดูแล เฝ้าคอยห่วงถามทุกข์สุขเสมอ แม้แต่สัตว์ที่ท่านเลี้ยงไว้หรือสัตว์ของคนอื่นก็เช่นกัน อ่าพระเณรวรยึดถือเป็นแบบอย่างดังจะปรากฏว่าสุนัขไม่เคยเห่าท่านมีแต่กระดิกหางให้
3.2 เป็นยอดนักเสียสละ
พูดได้เต็มปากว่าเป็นนักเสียสละที่หาผู้ใดเสมอเหมือนได้ยากพระเทพญาณเวทีไม่เคยหวงอะไร ไม่ว่าจะเป็นสบงจีวร ของใช้ ตลอดจนกระทั่งเงิน ไม่ว่าใครจะไปขออะไรคำว่าไม่มี ไม่ได้ จะไม่ได้ยิน บางครั้งถอดจากตัวออกให้ก็มี ถ้าไม่มีจริง ๆ ก็พูดว่ามาเอาพรุ่งนี้นะ และให้ต้องให้ดี ๆ เกรงลูกศิษย์จะอายเขาหรือไม่สบายใจ แต่พระเทพญาณเวทีมีข้อแม้เรื่องเงินถ้ายืมแม้แต่บาทเดียวต้องใช้ ถ้าขอให้โดยไม่ต้องคืนแม้เป็นร้อยเป็นพัน ไม่ว่าใครจะสร้างอะไรเป็นต้นว่า กุฏิ พระอุโบสถ ศาลา โรงเรียน สถานีอนามัย โรงพยาบาล ที่ว่าการอำเภอ พระเทพญาณเวทีต้องช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นเงินส่วนตัวหรือช่วยหาให้ก็ตาม
3.3 มีความกตัญญูสูง
กับทุกคนพระเทพญาณเวทีไม่เคยลืมว่าใครเคยให้ความช่วยเหลือ ใครเคยให้วิชาให้ความอบอุ่น พระเทพญาณเวทีพูดถึงเสมอ พูดด้วยความยกย่อง สรรเสริญ เคารพ จะเห็นได้จากเมื่อ พ.ศ. 2491 พระเทพญาณเวทีได้พามารดามาอยู่วัดด้วย ซึ่งพระเทพญาณเวทีจะเฝ้าปฏิบัติ คอยเยี่ยม คอยคุยด้วยเสมอ แม้ยามเจ็บไข้ พระเทพญาณเวทีจะเฝ้าดูแล ซักผ้าถุงให้ จนกระทั่งมารดาสิ้นชีวิต พระเทพญาณเวทีก็จัดแจงทำตามพิธีทางศาสนาอย่างภาคภูมิ และยังได้นำเอากระดูกไว้ในโกศหินอ่อนบูชาด้วยดอกมะลิทุกวัน แม้แต่โยมผู้อุปการะในการอุปสมบทก็เช่นกัน
3.4 มีความอดทน มุ่งมั่น แน่วแน่
พระเทพญาณเวทีมีความอดทน มุ่งมั่น แน่วแน่ ดังจะเห็นได้จาก
- ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กอยู่วัดตั้งแต่อายุ 4 ขวบ
- ตอนประชาชนชาวทับคล้อแกล้งลองใจตอนที่ท่านย้ายมาอยู่วัดท่ามงคล (วัดมงคลทับคล้อ)
- ตอนเดินทางไปกรุงเทพโดยรถไฟ เพื่อซื้อหนังสือ สมุด ดินสอ เมื่อซื้อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินทางกลับทับคล้อ (ขณะนั้นเป็นปลายปี พ.ศ. 2487 หรือต้นปี พ.ศ. 2488 สงครามยังไม่ยุติ) ข้าศึกมาทิ้งระเบิดในกรุงเทพ ฯ และสถานีรถไฟอยุธยา นอกจากนั้นก็ทิ้งระเบิดถูกสะพานรถไฟสถานีบ้านม้า เมื่อรถไฟถึงสถานีรถไฟอยุธยาแล้วก็หยุด ผู้โดยสารต้องเดินหรือนั่งเรือไปต่อที่สถานีรถไฟบ้านม้า ซึ่งมีระยะห่างกันประมาณ 6 กิโลเมตร ในการเดินทางครั้งนี้พระเทพญาณเวทีได้นำหนังสือกว่า 300 เล่ม สมุด ดินสอ ที่ซื้อแล้วติดตัวมาด้วย ซึ่งบรรจุไว้ในหีบห่อ ในกระเป๋า ชะลอม ตะกร้า ลัง ย่าม นอกจากนั้นยังมีผู้บอกว่า มีระเบิดเวลาที่ยังไม่ระเบิดอีกตรงสะพาน ถ้าผ่านไปตรงสะพานอาจมีอันตรายก็ได้ต้องอาศัยเรือจ้างอ้อมไป แต่เรือจ้างก็เต็ม มีผู้ว่าจ้างไปหมด จึงต้องตัดสินใจเดินข้ามสะพานไปที่สถานีบ้านม้า ไม้คานก็ไม่มีต้องใช้ไม้สะแกหาบหนังสือ แบก หิ้ว สะพาย ไม่มีใครช่วย เพราะแต่ละคนมีของติดตัวมากเช่นเดียวกัน พระเทพญาณเวทีจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า “ถ้าคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีจริง ขอมอบกายถวายตัวแด่พระรัตนตรัย เพื่อไปประกอบพุทธศาสนากิจให้เจริญ อย่าให้มีอันตรายใด ๆ เลย” จากนั้นท่านก็หาบหนังสือต่อไป เมื่อประชาชนเห็นพระหาบ แบก หิ้ว สะพายหนังสือ บางคนก็หัวเราะ และพูดว่าพระท่านไปได้เราก็ต้องไปได้ ผู้ไม่มีเรือไปก็ไปทางสะพานโดยไม่มีอันตรายใด ๆ เมื่อมาถึงสถานีรถไฟบ้านม้าท่านก็หมดแรง ลุกขึ้นยืนไม่ไหว ต้องพักอยู่ถึงครึ่งชั่วโมงจึงขนของขึ้นรถไฟได้ ต่อจากนั้นก็โดยสารรถไฟไปจนถึงสถานีตะพานหินและถึงวัดมงคลทับคล้อ
จากความลำบากลำบนในการขนหนังสือและอุปกรณ์การเรียนครั้งนี้ พระเทพญาณเวทีได้ตั้งใจแน่วแน่ว่า “การศึกษาภาษาบาลีที่จัดตั้งขึ้นที่ได้จัดหาตำรามาให้จนแทบเอาชีวิตไม่รอดครั้งนี้ จะต้องพยายามอดทนสู้จนสำนักเรียนเป็นหลักฐานมั่นคงให้ได้”
- ยอมเจ็บไข้ไม่ยอมปริปาก เช่น เป็นนิ่วในถุงน้ำดีอยู่ตั้งหลายปี จนกระทั่งเกิดเป็นหนองต้องผ่าตัดจนนายแพทย์พูดว่า “อีกนิดเดียวแย่แน่” ขณะอยู่โรงพยาบาลยังนั่งประชุมปรึกษาเรื่องทุนมูลนิธิในโรงพยาบาล
3.5 ปฏิบัติตามพระราชดำรัส
ครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสให้พสกนิกรประหยัดไฟ ประหยัดน้ำมัน เพราะขณะนั้นน้ำมันขึ้นราคา ปกติที่วัดจะมีขบวนแห่กฐิน ซึ่งต้องใช้รถยนต์ 200 กว่าคัน ถ้ารวมรถมอเตอร์ไซค์ด้วยตก 300 คัน ท่านสั่งงดเพื่อประหยัดน้ำมัน แต่ชาวบ้านขอเอาไว้ให้มีแห่กฐินบ้างจึงลดเหลือประมาณ 20 – 30 คัน (ประเพณีแห่กฐินนี้ไม่มีให้คนรุ่นหลังเห็นแล้ว)
3.6 มีความอ่อนน้อมถ่อมตน
พระเทพญาณเวทีเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ที่เป็นผู้ใหญ่กว่าหรือน้อยกว่า เช่น หากมีพระผู้บังคับบัญชามาท่านนั่งอยู่อาสนะหรือพื้นพรมอยู่ก็จะลุกจากอาสนะมาทำสักการะกราบไหว้ แม้ผู้บังคับบัญชานั้นจะมีอายุพรรษาน้อยกว่า หรือหากมีพระผู้มีอายุมากกว่าแต่พรรษาน้อยกว่าพระเทพญาณเวทีก็ให้ความเคารพเช่นเดียวกัน
3.7 มีความห่วงใย เอาใจใส่ ปรารถนาดีต่อลูกศิษย์
ด้วยวัดมงคลทับคล้อเป็นสำนักเรียน ซึ่งภิกษุสามเณรต้องท่องตำราดูหนังสือกันซึ่งสมัยก่อนยังใช้ตะเกียงอยู่ พระเทพญาณเวทีจะเดินตรวจดูความเรียบร้อยในเวลาประมาณเที่ยงคืนทุกคืน ซึ่งบางรูปนั่งหลับบนเก้าอี้ บางรูปนอนหลับหนังสืออยู่บนตัวก็มี แล้วไม่ได้ดับตะเกียงหลวงพ่อก็ตามดับตะเกียงให้
นอกจากนั้นยังฝึกหัดให้สามเณรทำงาน ซึ่งในสำนักเรียน สามเณรจะอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ นอกจากเรียนแล้วยังต้องปฏิบัติหน้าที่อื่น คือ ตักน้ำให้พระสงฆ์ (สมัยยังไม่มีประปา) หุงข้าว ทำอาหาร จัดอาหาร ล้างจาน ถูศาลา ฝึกหัดเทศน์ ฝึกพูดปาฐกถา ฝึกหัดให้เป็นผู้ทำงานร่วมกับคนอื่นได้ ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น
เมื่อลูกศิษย์จะไปเรียนต่อจะมีคำสอน คือ “ตั้งใจเรียนนะลูก ต้องอดทนนะ ปฏิบัติตามกฎตามระเบียบเขานะ อย่าทำให้หมู่คณะเดือดร้อนนะมีอะไรเดือดร้อนบอกพ่อนะ”
มาอยู่ที่วัดมงคลทับคล้อ ปี 2529 ได้ใกล้ชิดหลวงพ่อ ทราบซึ้งพระคุณท่านจริง ๆ
มาอาศัยบารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อเมือ 2527-2531 ทับคล้อให้ประสบการณ์ชีวิตที่ดีมากที่สุดก็ว่าได้ กราบขอบพระคุณในสิ่งดีที่ให้กับชีวิตเด็กบ้านนอก....