ความฝันทางการศึกษา (Imagine in Education)


การวางแผนการศึกษาของเราหรือใครสักคนหนึ่ง เราวาดภาพแห่งความฝันนั้นยาวนานเกินไปหรือไม่...?

เมื่อเราวางแผนการศึกษาที่จะนำพาเราเดินไปในหนทางใดสักทางหนึ่ง เราก็หวังว่าปลายทางของแผนที่เราวางไว้นั้นจะนำพาซึ่ง "ความสุข" อันมโหฬารมาให้

ดังนั้น นักเรียน นักศึกษาในปัจจุบันจึงยอมแลกและยอมเสียทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความหวังที่ปลายทาง ณ จุดนั้น

ไม่ว่าจะต้องทิ้งบ้าน จากเรือน ต้องเดินออกจากอ้อมกอดของบุคคลที่รักเราที่สุดคือพ่อและแม่ ทิ้งความอบอุ่นที่เด็กในวัยหนึ่งวัยนั้นสมควรที่จะได้รับ ทิ้งความสุข ณ ปัจจุบันเพื่อความฝันในความสุข ณ อนาคต

บางคนเดินไปถึงเป้าหมายนั้น แล้วได้รับความสุข...!

สุขจากการได้เรียนจบ สุขจากการได้รับปริญญา หน้าชื่น ตาบาน

แต่แล้วก็ต้องสร้างความหวังขึ้นมาใหม่ต้องเริ่มทุกข์กับการหาการ หางาน

จากชีวิตในวัยเด็กที่ต้องออกจากบ้าน ก็ย่อมต้องเดินห่างจากบ้านไปเรื่อย ๆ เพราะถนนแห่งความฝันที่บอกเราว่า "สุข สุข สุข" นั้น ช่างห่างไกลคำว่า "บ้าน" เสียนี่กะไร...

บ้าน คือ วิมานของเรา...

ใครหลายคนดำรงชีวิตนี้ก็หวังว่าตายไปแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ สวรรค์อันเป็นบ้านแห่งเทพยาดา อารักษ์ แต่วิมานนั้นอาจจะใช่หรือคล้ายกับศาลพระภูมิที่ตั้งอยู่หน้าบ้านเรานั้นหรือไม่ ชีวิตหลังความตายน้อยคนนั้นที่จักได้ล่วงรู้ได้

แต่ชีวิตหลังการศึกษา หลาย ๆ คนรู้ หลาย ๆ คนประสบพบเจอว่า มันไม่ได้สุขอย่างที่เราต้องเสียสละความสุขทั้งชีวิตเพื่อแลกจุดจุดนั้น

ความสุขจากการเรียนจบได้รับปริญญาในสถาบันการศึกษาใหญ่ ๆ

ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ได้เหรียญทอง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สิ่งที่เจริญหู เจริญตาสักแค่ไหน มีใครหลายคนเคยบวกลบคูณหารบ้างหรือไม่ว่า สี่ปีที่ผ่านมาในระดับอุดมศึกษา หรือเจ็ดปีเมื่อบวกกับมัธยมปลาย สิบปีเมื่อด้วยด้วยมัธยมต้น หรือสิบหกปีเมื่อบวกกับประถม และบางคนวางแผนถึงสิบแปดปีเพื่อส่งลูกเข้าแข่งขันตั้งแต่ระดับอนุบาล สิบแปดปีที่ผันผ่าน คุ้มค่ากับความหน้าชื่นตาบานในวันที่สำเร็จการศึกษานั้นหรือไม่...?

บางคนถึงจุดจุดนั้น ตอบได้

บางคนเจ็บป่วย หรือบางคนอาจ "ตาย" ตอบไม่ได้

เมื่อเราตัดสินใจเลือกชีวิตในอนาคต เราต้องละทิ้งชีวิตในปัจจุบัน

ชีวิตที่จะต้องจากพ่อ จากแม่

ชีวิตที่ต้องเดินทางออกห่างจากบุคคลที่เรารัก

ชีวิตที่เราต้องประจักษ์แจ้งเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเราอยู่ในเมืองหลวง เมืองที่กว้างใหญ่ แต่จิตใจของคนช่างแคบนัก

ชีวิตที่เราต้องรู้จักรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อต้องเดินทางอย่างอ้างว้างไปศึกษาอย่างต่างประเทศ

ชีวิตหนึ่ง ชีวิตนั้น ชีวิตที่อยู่กับความฝันคุ้มค่าไหมกับความสุข ณ ปัจจุบันที่เสียไป

การศึกษาไทยเป็นการศึกษาที่เล่นอยู่กับภาพความฝันของเด็ก ๆ

ความฝันว่าจบแล้วเป็นหมอมีความสุข เป็นวิศวกรมีความสุข ทำงานออฟฟิศมีความสุข ได้เงิน ได้ทอง ลาภ ยศ สรรเสริญ งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข งานดี เงินดี มีแฟนหล่อ แฟนสวย

แฟนหล่อ แฟนสวย อยู่กับเราได้ตลอดชีวิตหรือไม่ มีบางคู่ บางจิต บางใจ อยู่ได้ไม่นานก็เลิกรา

การศึกษาที่สูงทำให้จิตใจของคนเราสูงขึ้นได้ไหม

การศึกษาในเมืองใหญ่ที่อ้างว้าง สร้างจิตของเราให้เจริญอย่างเมืองใหญ่นั้นได้หรือไม่

การศึกษาหนอ การศึกษาไทย จักสร้างความฝันให้เด็กไทยไปไหนกัน...?

หมายเลขบันทึก: 408502เขียนเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2010 16:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 17:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

การศึกษาทั่วไปเป็นจินตนากรรมของนักวิชาการทางการศึกษา

ส่วนการศึกษาตลอดชีวิตเป็นจินตนากรรมของตนเอง

จินตนากรรมของตนเองมาจากไหน มาจากจินตนากรรมของนักวิชาการทางการศึกษาสร้างไว้ใช่หรือไม่ หรือถ้าจะพูดให้เลวร้ายยิ่งกว่าจินตนากรรมของนักเรียนนักศึกษาในปัจจุบันมาจากจินตนากรรมของ "นักธุรกิจ..."

นักธุรกิจที่แฝงตัวอยู่ในคราบนักการเมือง ในคราบนักการศึกษา ผู้บริหาร หรือแม้กระทั่ง "คณาจารย์"

นักธุรกิจคือบุคคลที่ทำกิจกรรมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนและพวกพ้องเป็นหลัก (Shareholders wealth maximization)

ทำทุกอย่างเพื่อ "ผลกำไร" อันจะตอบแทนกลับมาซึ่งลาภ เกียรติ ยศ สรรเสริญ

นักบริหารการศึกษาปัจจุบันกลายเป็นการเมืองกันมาก และก็เป็นนักการศึกษาในคราบนักธุรกิจกันเยอะ

การแสดงความคิดเห็นแบบนี้อาจจะผิดกฏของ G2K ที่ต้องการให้เขียนแต่ในเชิงบวก เชิงสร้างสรรค์ แต่บางครั้งอะไรที่บวก ๆ นั้นก็ห่างจาก "ความจริง..."

ชีวิตของเราทุกวันนี้ไม่ได้อยู่ในสังคมเชิงบวก ความจริงทางการศึกษาในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องบวก ถ้าหากจะหนีเรื่องบวกโดยการหาเรื่องบวกมาพูด เรื่องลบ ๆ ก็ถูกกลบไว้

การจะแก้ไขปัญหา นั้นนอกจากกระทำดี โดยการคิด พูด ทำในการบวกแล้ว ก็ต้องหยุดการกระทำชั่วร่วมกันไปด้วย

ถ้าไม่รู้จักความชั่ว ไม่นำเรื่องผิด ๆ ลบ ๆ ขึ้นมาพูด ขึ้นมาแก้ไข จะแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมได้อย่างไร...?

เพราะหลักในการดำเนินชีวิตในทางพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า คนเราจักต้อง "ละความชั่ว ทำความดี และกระทำตนให้ขาวรอบ"

ปัจจุบันคนทำดีกับทำชั่วนั้นมีสัดส่วนต่างกัน

คนทำความดีกลายเป็นคนส่วนน้อยในระบบประชาธิปไตย เพราะความชั่วในใคร ๆ เขาก็ทำกัน

เรื่องนักการเมืองเข้ามาทำงานเพื่อหาผลประโยชน์ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นผู้บริหารการศึกษาสวมบทบาทนักการเมืองเข้ามาเพื่อหาผลประโยชน์ก็เป็นเรื่องธรรมดาเช่นเดียวกัน

ถ้าหากการศึกษาไทยไร้ซึ่งผลประโยชน์ การศึกษาไทยคงจะก้าวหน้าไปกว่านี้อีกมาก

ผลประโยชน์นั้นแล เปรียบเสมือนอาหารอันโอชะสำหรับปลวก มด มอด ที่กัดกินรำเรือของตัวเอง

ถ้าครูเปรียบเสมือนเรือจ้าง เรือลำนั้นก็กำลังจะล่ม เพราะถูกปลวกกัดจนน้ำท่วมเข้าเรือจนพายไปได้ไม่ถึงไหน

เรื่องปลวกก็กำจัดไม่ได้ มือหนึ่งต้องพาย อีกมือหนึ่งต้องวิดน้ำ

เด็กที่นั่งอยู่ในเรือ ก็เรียนรู้การกระทำของครู เพราะการกระทำเสียงดังกว่า "คำพูด"

ปากครูก็พร่ำสอนไป แต่ใจนั้นมีภาระหนักอึ้ง

ชีวิตครูในปัจจุบันจึงน่าสงสาร ทั้งต้องสู้รบกับปลวกที่กินเรือ แล้วไหนมือหนึ่งต้องพาย อีกมือต้องวิดน้ำ ปากก็ต้องพร่ำสอนลูกศิษย์ สายตาก็ต้องเหลือบไปดูลูก ดูครอบครัว

ช่วงนี้จึงต้องให้กำลังใจ เพื่อสร้างกำลังกายกับคุณครูให้มาก ๆ เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤติการณ์อันเลวร้าย ที่สรรพภัยรุมล้อมมารอบด้าน

ถ้าประเทศนี้ไม่มีนักธุรกิจ ชีวิตของครูคงจะมีสุขขึ้นอีกมาก

นักธุรกิจที่สร้างจินตนากรรมทางธุรกิจแล้วนำมาครอบคลุมชีวิตของนักวิชาการทางการศึกษา...!

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท