ประโยชน์ของการเล่านิทาน


นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อคิดเห็นว่า กระทรวงได้สนับสนุนให้พ่อแม่เล่านิทานให้ลูกฟังตั้งแต่ทารก ตลอดจนสนับสนุนให้พี่เลี้ยงศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ 17,000 แห่ง เล่านิทานให้เด็กฟัง เพื่อสร้างไอคิวอีคิวเด็กไทย เนื่องจากการศึกษาในต่างประเทศซึ่งเก็บข้อมูลเด็ก 450 คนต่อเนื่องนานถึง 40 ปี พบว่าไอคิวมีความสัมพันธ์เพียงเล็กน้อยกับความสามารถในการทำงานได้ดี ปัจจัยที่สามารถทำนายถึงความสำเร็จด้านต่าง ๆ ของชีวิตได้ดีกว่ากลับเป็นความสามารถด้านต่าง ๆ ในวัยเด็กที่ไม่เกี่ยวข้องกับไอคิว เช่น ความสามารถในการจัดการกับความผิดหวัง การควบคุมอารมณ์และการเข้ากับบุคคลอื่น ๆ ได้ดี ซึ่งหมายถึงอีคิวนั่นเอง

นอกจากนั้น ยังมีการศึกษาในกลุ่มที่จบปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์ 80 คน ตั้งแต่ตอนที่ยังศึกษาอยู่จนถึงบั้นปลายชีวิตในวัย 70 ปี พบว่าความสามารถทางด้านอารมณ์และสังคม มีส่วนทำให้ประสบผลสำเร็จในวิชาชีพและมีชื่อเสียงมากกว่าความสามารถทางเชาวน์ปัญญาหรือไอคิวถึง 4 เท่า

ขณะเดียวกันการเล่านิทานยังสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้เล่ากับเด็กสร้างความมั่นใจ ความเชื่อมั่นให้เด็ก กล้าแสดงความคิดเห็น มีสมาธิ ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบของไอคิวหรือความฉลาดทางปัญญา นิทานยังเป็นการขยายเรื่องที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรม ช่วยสร้างความฉลาดทางอารมณ์หรืออีคิวให้เด็กอยู่ในสังคมได้

นพ.ปราชญ์ กล่าวด้วยว่านิทานในเด็กเล็กอาจจะมีการจัดทำเป็นหนังสือ โดยเสริมการสัมผัสหรือที่เรียกว่าหนังสือสัมผัส มีภาพประกอบใหญ่ ๆ คล้ายของจริง เช่น ภาพสัตว์ ผลไม้ เป็นหนังสือที่มีผลดีต่อเด็กมาก ระหว่างเล่าเด็กจะมองที่ปากคนเล่าและเด็กจะขยับปากตาม ซึ่งมีส่วนกระตุ้นพัฒนาทางภาษา เมื่อเด็กได้จับรูปภาพ จะกระตุ้นพัฒนากล้ามเนื้อ กระตุ้นการมองสี แยกแยะสีต่าง ๆ ได้ แต่จากการศึกษาสถานการณ์การเล่านิทานของครอบครัวไทย พบว่ามีแนวโน้มลดลงอย่างน่าห่วง ในช่วง 2 ปีมานี้ พ่อแม่มีเวลาเล่านิทานให้ลูกฟังทุกวันไม่ถึง 50% เนื่องจากต้องทำงานนอกบ้าน ผู้เล่านิทานเป็นแม่มากกว่าพ่อ

ด้าน นพ.สมยศ เจริญศักดิ์ อธิบดีกรมอนามัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กรมอนามัยได้ศึกษาสถานการณ์การเล่านิทานของครอบครัวไทยทั่วประเทศกว่า 3,389 ครอบครัวในปี 2546 พบว่าเพียงร้อยละ 2 ที่พ่อแม่เริ่มเล่านิทานตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์ พ่อแม่ 2 ใน 3 เริ่มเล่าเมื่อลูกอายุ 1-3 เดือน ขณะที่พ่อแม่ 1 ใน 3 ไม่เคยเล่านิทานให้ลูกฟังเลยในรอบ 1 เดือน วิธีการเล่า 41% จะอ่านนิทานให้ลูกฟัง มีเพียง 1 ใน 6 ที่ใช้อุปกรณ์และแสดงท่าทางประกอบการเล่านิทานที่นิยมเล่ามากที่สุด ได้แก่ นิทานพื้นบ้าน รองลงมาคือนิทานสอนคติธรรม นิทานนานาชาติ และการ์ตูน

ส่วนประโยชน์ของการเล่านิทาน พ่อแม่ 28% บอกว่าทำให้ลูกมีสมาธิดี รองลงมาคือสร้างความผูกพันพ่อแม่ลูก ทำให้เด็กมีจินตนาการเกิดความคิดสร้างสรรค์ และเด็กได้คติเตือนใจ

อย่างไรก็ตาม เพื่อกระตุ้นพัฒนาการที่สมวัยของเด็ก กรมอนามัยแนะนำว่าปัจจุบันมีนิทานส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตั้งแต่เยาว์วัย ทั้งในเรื่องการบริโภคอาหาร การแปรงฟัน และการดูแลสุขภาพอื่น ๆ

....ผู้สนใจขอรับข้อมูลได้ที่สำนักส่งเสริมสุขภาพ 02-590-4432, 02-590-4437

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

http://board.palungjit.com/f9/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%A7-29403.html

หมายเลขบันทึก: 408318เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2010 14:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 พฤษภาคม 2012 14:27 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

เห็นด้วยนะคะกับเนื้อหานี้ มีประโยชน์มากค่ะสำหรับเด็ก ๆ ทำให้เด็ก ๆ มีความสุข มีความอบอุ่น และยังมีสมาธิในการฟังอีกด้วย ดีสำหรับครอบครัวที่ยังมีลูกเล็ก ๆ อยู่นะคะ

ขอบคุณค่ะ มีประโยชน์มากเลยค่ะ

จ้า............................ดีมากเลยค่ะ

โห๊...เพิ่งรู้นะค่ะเนี้ย..ว่านิทานมันมีประโยชน์ขนาดนี้

ปกติ เล่าเพราะ กันไม่ให้เด็กพูดคุย วิ่งเล่นกันเสียงดังค่ะ...^ ^

นิทานคือพื้นฐานการสร้างจินตนาการและแรงบันดาลใจให้เกิดแก่เด็กๆ ครับ

แก้วก็เล่าคะพี่ แต่เด็กเค้า ชอบฟังเรื่องผีๆๆๆ แต่งไม่ถูกเลยค่ะ ต้องขอร้องเลยนิทานไทยเอ่อก็ค่อยยังชั่ว

มีประโยชน์มากครับ

จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ครับ

เป็นทำงานร่วมกันของสมองสองข้าง

ที่สำคัญคืำอไม่เครียดครับ

ดีตังค่ะ เดี๋ยวจะลองเอาไปใช้บ้าง แต่เป็นภาษาจีนนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท