วันหนึ่ง ขณะเดินไปตามทางเท้าถึงมุมร้านขายยาร้านหนึ่ง ผมได้ยินเสียงผู้ใหญ่ดุเด็กจึงเหลียวไปดู เห็นชายเจ้าของร้านจับข้อมือเด็กชายวัยไม่ถึงสิบขวบด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งถือไม้เรียว
ดูไปฟังไปไม่เกินนาทีก็สรุปได้ว่า เด็กคนนั้นขโมยเงินสิบบาท ซึ่งเป็นเงินไม่มากเลย แต่ชายผู้นั้นบอกว่า จะสิบบาท ร้อยบาทหรือแม้แต่บาทเดียว การขโมยก็เป็นการขโมยเท่าเทียมกัน คนเป็นขโมยเป็นที่การกระทำ ไม่ได้เป็นเพราะจำนวนเงิน เขาสอนลูกทีละประโยคสองประโยคและเฆี่ยนสลับคำสอนนั้นๆทีหนึ่ง
ขณะกำลังผ่านร้านไป ผมได้ยินอีกประโยคหนึ่ง ซึ่งติดตามมาอยู่ในเมโมรีการ์ดในหัวผมจนถึงเดี๋ยวนี้ คือ “ถ้าเตี่ยยอมเสียเงินสิบบาทโดยไม่ทำโทษลื้อ วันหน้าลื้ออาจจะเสียคน แล้วเตี่ยก็จะเสียลูกไปคนหนึ่ง”
เสียลูก คำนี้ร้ายแรงมากแน่นอนสำหรับพ่อแม่ที่ปกติทั้งหลาย แต่เสียไปเพราะเหตุใดนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งถ้าเสียลูกให้แก่ความชั่วก็เป็นเรื่องที่น่าเจ็บใจตัวเองที่เลี้ยงไม่ดี สอนไม่เป็น แต่มีบ้างเหมือนกันที่โทษโน่นโทษนี่สารพัดยกเว้นตัวเองกับลูก ถ้าเจอแบบนี้คงแก้ไขอะไรไม่ได้
วิธีอบรมลูกของเจ้าของร้านขายยาคนนี้ ตรงกับวิธีลงโทษคดีลักหรือยักยอกทรัพย์ตามกฎหมายอาญา เพราะขโมยที่เคยงัดบ้านผม ไปงัดบ้านอื่นแล้วถูกจับพร้อมของที่ลักมูลค่าไม่กี่ร้อยบาท เขาถูกตัดสินจำคุกสองปี
ครับ สองปี เท่ากับคดีที่มีมูลค่านับพันนับหมื่นล้านบาทเลย
ศาลเขาดูว่า ทำอะไร ไม่ได้ดูว่า เท่าไร
หลายเรื่องที่พ่อแม่ต้องสอนลูกนั้น รอช้าไม่ได้เป็นอันขาด
ไม่มีความเห็น