เมื่อวานที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเรียนและนำเสนอหัวข้อในการอภิปรายเรื่อง "ปาฏิหารย์เศรษฐกิจไทย บนหลังและไหล่ของผู้หญิง" ซึ่งทำให้ย้อนกลับไปถึงในเรื่องของ "บริหารธุรกิจ" ที่ได้สัมผัสและร่ำเรียนมาเกือบตลอดทั้งชีวิต ตั้งแต่การเรียนบัญชีในระดับ ปวช. การเรียนบริหารธุรกิจในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท แต่ตอนนี้ได้มาเรียนและสัมผัสกับทฤษฎีทางด้านสังคมศาสตร์ ก็ทำให้เข้าใจและสามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ในอีกหลายมิติมากขึ้น
ย้อนกลับไปวันแรกที่เพื่อน ๆ และครูบาอาจารย์ได้ทราบว่าผมจะเรียนต่อในระดับปริญญาเอก ทุกคนก็นึกอยู่อย่างเดียวว่า ผมจะต้องเรียน Ph.D. (Business Management) หรือไม่ก็ Doctor of Business Management (DBA) เพราะเคยมีหลาย ๆ คนพูดว่า "โลกสร้างผมขึ้นมาเพื่อเรียนทางด้านบริหารธุรกิจ"
ชีวิตของผมก็ได้ผันเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อได้มีโอกาสสัมผัสกับ "งานวิจัย" โดยเฉพาะงานวิจัยกับชุมชน และก็มีคนพูดกับผมอีกว่า “ผมน่ะลุ่มหลงและรักงานวิจัยเป็นอย่างมาก จนงานวิจัยสามารถกำหนดชะตาชีวิตผมได้เลย ชีวิตผมจะอยู่หรือจะไปไม่ได้อยู่ที่ผมแต่อยู่ที่ชุมชนกำหนด เพราะใจของผมมันเรียกร้องไปทางนั้น” ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ทราบเลยว่า ผมหลงรักชุมชนมากขนาดนั้นเลยเหรอ
จนกระทั่งได้พบกับท่านอาจารย์จุฑาทิพย์ ภัทรวาท รองอธิการบดีฝ่ายทรัพย์สิน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อครั้งท่านเดินทางมากับทีมงานของ ดร.สีลาภรณ์ ในการตรวจเยี่ยมและสรุปงานในโครงการจัดทำแผนชีวิตและข้อเสนอภาคประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของจังหวัดอุตรดิตถ์ ว่า “ผมติดบ่วงชุมชน” และท่านก็แนะนำว่า “น่าจะเรียนมหาวิทยาลัยชีวิตในเมืองไทย” จะเป็นสิ่งที่เหมาะกับผมมากที่สุด และในที่สุดผมก็มีโอกาสเรียนในเมืองไทยจริง ๆ ด้วยครับ
ในการเรียนแต่ละครั้ง ทำงาน หรือย่างก้าวในแต่ละครั้งทั้งในรั้วมหาวิทยาลัยและนอกรั้วมหาวิทยาลัย ผมพยายามเก็บเกี่ยวสิ่งต่าง ๆ ที่พบสิ่งที่สัมผัส นำมาประกอบกับประสบการณ์ที่ได้เคยใช้ชีวิตสัมผัสมาแล้วในอดีต เพื่อกำหนดเป็นกรอบในการทำงานของอนาคต ทุก ๆ วัน ผมใช้เวลาคิด คิด คิด แล้วก็คิด คิดสิ่งใดออก “แวบแรก” ผมก็จะรีบนำมาเขียนนำมาบอกเล่าเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับทุก ๆ ท่านทั้งใน Gotoknow และเพื่อน ๆ ที่เรียนด้วยกัน
จนกระทั่งเมื่อวานได้เรียนรู้เกี่ยวกับ “พลังของผู้หญิง” ที่เป็นรากฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย ก็นึกย้อนถึงครั้งหนึ่ง ซึ่งเคยประทับใจมาก ๆ กับภาพและคำพูดที่เคยได้สัมผัสที่กลุ่มแปรรูปไม้ด้วยมือ ตำบลจริม อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์
ความว่า.....
“ผมกลับมาทำงานที่บ้าน บางเดือนผมก็ไม่ได้เงินเลย แต่ผมก็พอใจเพราะผมได้อยู่กับลูกกับเมียผม”
“เมื่อก่อนจากบ้านไปทำงานในกรุงเทพฯ ได้เดือนละเป็นหมื่น ก็ไม่มีความสุขเหมือนกับเดี๋ยวนี้” "ได้กลับมาอยู่กับบ้าน ไม่มีเงินก็มีกิน
ได้เห็นหน้าเมียหน้าลูก ผมก็ดีใจมากแล้ว"
การทำงานของผู้หญิง ที่รัฐบาลมองว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ก่อให้เกิด GDP ไม่ก่อให้เกิดตัวเงินเกิดขึ้น และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ แต่สิ่งที่เขาทำนั้นทำให้เกิดมูลค่ากับครอบครัว
"ครอบครัวเป็นฐานของเศรษฐกิจ หรือว่าเศรษฐกิจเป็นเป็นทุกอย่างของครอบครัว?"
มูลค่าต่าง ๆ ที่ "ผู้หญิง" ก่อให้เกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจนั้นมีอยู่มากมายมหาศาล เพราะสิ่งที่ผู้หญิงทำให้เกิดขึ้นนั้นคือ GDH (Gross Domestic Happiness) ซึ่งเป็นสิ่งพื้นฐานสำคัญที่สุดทางจิตใจ
จิตใจดี ร่างกายดี งานดี สังคมดี ประเทศย่อมดีไปด้วยครับ
"ไม้ใหญ่จะยืนทะนงต้านแรงช้างสารได้ ก็เพราะรากที่หยั่งลึกและแข็งแรง"
ฉันใดก็ฉันนั้น
"เศรษฐกิจจะดีได้ก็เพราะมีฐานครอบครัวที่เป็นสุข"
อาจารย์เขียนบันทึกนี้ได้เยี่ยมมากครับ ผมอ่านแล้วอึ้งครับ
จะติดตามอ่านบันทึก และให้กำลังใจครับผม
สนับสนุนครับ
ให้กำลังใจ ครับ