ไตมีหน้าที่อย่างไร ไตมีหน้าที่ที่สำคัญหลายประการ ได้แก่
-
กำจัดของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย: ของเสียที่สำคัญที่ได้จากการเผาผลาญโปรตีนจากกอาหารเรียกว่า ยูเรีย (urea) เมื่อไตทำงานผิดปกติ จะมีการคั่งของยูเรียในกระแสเลือดเกิดภาวะยูเรียเมีย ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เหนื่อย นอนไม่หลับ จนถึงอาจจะมีอาการชักเกร็งและไม่รู้สึกตัว
-
เก็บและดูดซึมสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น น้ำตาลโปรตีน ฯลฯ
-
รักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ชนิดต่างๆ ในร่างกาย เช่น เกลือโซเดียม โปรแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม ฯลฯ เมื่อไตทำงานผิดปกติไม่สามารถขับเกลือโซเดียมส่วนเกินออกไป จะทำให้เกิดอาการบวมและความดันโลหิตสูง ถ้าไม่สามารถขับโปรแตสเซียมส่วนเกินออกไป อาจทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ จนถึงหัวใจหยุดเต้น
- รักษาสมดุลของสภาวะความเป็นกรดและด่างในร่างกาย: ในภาวะปกติร่างกายของคนเราจะมีการสร้างกรดจากขบวนการเมตาโบลิสซึ่ม ไตทำหน้าที่ในหารขับกรดและป้องกันการสูญเสียด่างออกจากร่างกายเมื่อไตทำงานผิดปกติไม่สามารถขับกรดส่วนเกินออกไป ทำให้เกิดสภาวะความเป็นกรดในร่างกายจนเป็นอันตรายต่ออวัยวะและระบบต่างๆ ของร่างกาย
- รักษาสมดุลของสารแคลเซียมและฟอสฟอรัสในร่างกาย
- ควบคุมความดันโลหิตภายในร่างกายให้อยู่ในสภาพปกติ โดยควบคุมสมดุลของเกลือโซเดียมในร่างกาย
- สร้างฮอร์โมนหลายชนิดที่สำคัญได้แก่ ฮอร์โมนเรนิน (Renin) ช่วยในการควบคุมความดันโลหิตของร่างกาย
- ฮอร์โมนอีริโทรพอยอีติน (Erythropoietin) ช่วยกระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง
- วิตามิน ดี (Vitamin D) ช่วยในการดูดซึมสารแคลเซียมเพื่อใช้ในการเสริมสร้างโครงสร้างของกระดูก
ทำไมไตถึงไม่ทำงาน มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้ไตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ โรคไตหรือโรคอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อไตสามารถทำให้ไตล้มเหลวได้ ไตวายแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ไตวายเฉียบพลันและไตวายเรื้อรัง ภาวะไตวายเฉียบพลัน คือ ภาวะที่มีการสูญเสียการทำงานของไตอย่างรวดเร็วภายในเงลาเป้นชั่วโมงหรือเป็นวัน เกิดได้จากสาเหตุหลายประการ ได้แก่ ภาวะช็อคที่รุนแรงจากสาเหตฺต่างๆ เช่น การสูญเสียน้ำหรือเลือดในปริมาณมาก ภาวะหัวใจล้มเหลวการติดเชื้ออย่างรุนแรง การได้รับสารที่เป็นพิษต่อไต ภาวะไตอักเสบเฉียบพลัน การอุดตันของทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น การแก้ไขสาเหตุและให้การรักษาที่ถูกต้องจะทำให้ไตค่อยๆฟื้นตัวกลับมาทำงานได้เป็นปกติในเวลา 2-4 สัปดาห์ ภาวะไตวายเรื้อรัง คือ ภาวะที่มีการทำลายเนื้อไตอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ จนกระทั่งการทำงานของไตเสียไปมากกว่าครึ่ง ผู้ป่วยก็จะเริ่มแสดงอาการของโรคไตวายเรื้อรังออกมาอย่างชัดเจน ในกรณีเช่นนี้ไตเสียหน้าที่อย่างถาวรและไม่สามารถกลับคืนมาทำงานได้อีก ทำให้มีการคั่งของของเสียจำนวนมากผู้ป่วยเหล่านี้จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับ การรักษาทดแทนไต เพื่อลดอาการแทรกซ้อนและรักษาชีวิตไว้
อาการแสดงของโรคไต อาการแสดงที่สำคัญที่ทำให้นึกถึงโรคไต ได้แก่
- อาการบวมของเท้า ขา ใบหน้าและท้อง
- การตรวจพบภาวะความดันโลหิตสูง
- การเปลี่ยนแปลงของการขับถ่ายปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะเป็นสีน้ำล้างเนื้อหรือปัสสาวะเป็นฟอง ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ปัสสาวะออกน้อยลง
- อาการแสบร้อนเวลาถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะขัด สะดุดหรือมีกรวดทรายปนออกมา
- อาการปวดเอวหรือปวดหลังด้านข้าง
- ภาวะโลหิตจางโดยไม่ทราบสาเหตุ
สาเหตุของการการเกิดภาวะไตวายเรื้อรัง ที่สำคัญ ได้แก่
-
- โรคเบาหวาน
- โรคความดันโลหิตสูง
- กรวยไตอักเสบ
- โรคไตที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
- ระบบทางเดินปัสสาวะอุดตัน
- การใช้ยาในปริมาณมาก เช่น ยาแก้อักเสบ
- การไหลย้อนกลับของปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
การรักษาภาวะไตวายเรื้อรัง
-
- ค้นหาและรักษาสาเหตุของภาวะไตวายเรื้อรัง
- การรักษาเพื่อชะลอการเสื่อมของไต
- ควบคุมความดันโลหิต
- ลดปริมาณโปรตีนในปัสสาวะ
- จำกัดการรับประทานเกลือและโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสม
- หยุดสูบบุหรี่
- ป้องกันและรักษาภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้น
- เตรียมตัวเพื่อเข้าสู่การรักษาทดแทนไต
การรักษาทดแทนไต
การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม คือ การกำจัดของเสียและน้ำส่วนเกินที่คั่งค้าง ในร่างกายโดยใช้เครื่องไตเทียม เพื่อดึงของเสียและน้ำออกจากเลือดของผู้ป่วย โดยวิธีการนี้เลือดของผู้ป่วยถูกดูดออกทางหลอดเลือดแดงที่แขนหรือขา นำเลือดมาผ่านตัวกรองเพื่อฟอกเอาของเสียและน้ำส่วนเกินออก แล้วส่งเลือดกลับคืนสู่ผู้ป่วยทางหลอดเลือดดำ ซึ่งในการทำแต่ละครั้งจะใช่เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง หลังการฟอกเลือดปริมาณของเสียในเลือดจะลดลง และน้ำหนักตัวของผู้ป่วยก็ลดลงตามที่กำหนดไว้
การล้างไตทางช่องท้อง
การล้างไตทางช่องท้อง คือ การกำจัดของเสียและน้ำส่วนเกินที่คั่งค้างในร่างกายโดยการใส่น้ำยาล้างไต เข้าไปในช่องท้องของผู้ป่วย ของเสียและน้ำส่วนเกินในเลือดผู้ป่วยจะแพร่กระจายเข้าสู่น้ำยาล้างไต หลังจากนั้นจึงทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาล้างไตออกแล้วใส่น้ำยาล้างไตใหม่เข้า ไป ซึ่งในการทำแต่ละรอบจะใช้เวลาแระมาณ 1-4 ชั่วโมง 3-4 รอบต่อวัน ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ว่าต้องการขจัดของเสียหรือน้ำส่วนเกินมากน้อยแค่ไหน การรักษาเช่นนี้จะทำให้ปริมาณของเสียในเลือดลดลงและสามารถควบคุมน้ำหนักตัว ของผู้ป่วยได้
การผ่าตัดปลูกถ่ายไต การผ่าตัดปลูกถ่ายไต คือ การผ่าตัดนำไตของญาติที่มีชีวิตหรือผู้บริจาคอวัยวะที่เพิ่งเสียชีวิตหรือสมองตายแต่ไตยังทำงานปกติ มาใส่ให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย เพื่อทำหน้าที่ทดแทนไตเดิมซึ่งเสียหน้าที่ไปแล้ว หลังการผ่าตัดปลูกถ่ายไตผู้ป่วยจะมีไตเพิ่มขึ้นจากเดือนอีก 1 อัน ดังนั้น การผ่าตัดปลูกถ่ายไตจึงเป็นการรักษาทดแทนไตที่เหมือนธรรมชาติมากที่สุด
การผ่าตัดปลูกถ่ายไต
การผ่าตัดปลูกถ่ายไตคืออะไร การผ่าตัดปลูกถ่ายไต หมาย ถึง การผ่าตัดนำไตของญาติที่มีชีวิตหรือผู้บริจาคอวัยวะที่เพิ่งเสียชีวิตหรือ สมองตายแต่ไตยังทำงานปกติ มาใส่ให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย เพื่อทำหน้าที่ทดแทนไตเดิมซึ่งเสียหน้าที่ไปแล้ว หลังการผ่าตัดปลูกถ่ายไตผู้ป่วยจะมีไตเพิ่มขึ้นจากเดือนอีก 1 อัน ดังนั้น การผ่าตัดปลูกถ่ายไตจึงเป็นการรักษาทดแทนไตที่เหมือนธรรมชาติมากที่สุด
คุณสามารถรับบริจาคไตจากใครได้บ้าง
1. ผู้บริจาคที่มีชีวิต (Living related donor)
-
- ผู้บริจาคต้องมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ดังนี้
- บิดาหรือมารดา บุตรหรือธิดา พี่-น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกันที่สามารถพิสูจน์ได้ทาง HLA จากบิดา มารดา หรือทางกฏหมาย
- ลุง ป้า น้า อา หลาน ลู้พี่ลูกน้องในลำดับแรก หรือญาติที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดครึ่งหนึ่ง เช่น พี่น้องต่างบิดาหรือมารดา
- ผู้บริจาคที่เป็นคู่สมรส โดยมีหลักฐานการจดทะเบียนสมรสมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี จนถึงวันผ่าตัดปลูกถ่ายไต
คุณสมบัติของผู้บริจาคไตที่มีชีวิต (Living related donor)
- มีอายุเท่ากับหรือมากกว่า 18 ปี และไม่ควรมีอายุเกิน 60 ปี
- ไม่มีภาวะความดันโลหิตสูง (ค่าความดันโลหิต Systolic ไม่มากกว่า 140 มิลลิเมตรปรอท และค่า Diastolic ไม่มากกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท)
- ไม่เป็นโรคเบาหวาน
- ไม่มีประวัติเป็นโรคไตเรื้อรัง
- มีค่าโปรตีนในปัสสาวะไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อ 24 ชั่วโมง
- มีค่า Creatinine clearance มากกว่า 80 ml / min / 1.73 m?
- ไม่มีภาวะโรคอ้วน (ค่า BMI ไม่มากกว่า 35 )
- ไม่เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงทางอายุรกรรม เช่น COPD, Ischemic heart disease, Malignancy, Active infectious disease, Drug addiction เป็นต้น
- Negative test for anti HIV, HBsAg, Anti HCV
- ต้องมี Inform consent
- ผ่านการประเมินทางจิตเวช (Psychiatric evaluation) ก่อน
- ต้องเป็นญาติโดยสายเลือดหรือคู่สมรสตามกฏหกมายข้อบังคับแพทยสภา
- ต้องไม่เป็นการซื้อขายไต
2. ผู้บริจาคที่เสียชีวิต (Cadaveric donor) ผู้บริจาคในกรณีนี้จะต้องเป็นผู้ที่เสียชีวิตจากภาวะสมองตาย ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์การวินิจฉัยสมองตายของแพทยสภา
คุณสมบัติของผู้บริจาคไตที่เสียชีวิต (Cadaveric donor) ให้เป็นไปตามกฏข้อบังคับแพทยสภาด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2538 หมวด 8 การประกอบวิชาชีพเวชกรรมเกี่ยวกับการปลูกถ่ายอวัยวะตามประกาศแพทยสภา เรื่องเกณฑ์การวินิจฉัยสมองตาย พ.ศ. 2532 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2539 และตามหลักเกณฑ์ของศูนย์บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย
คุณสมบัติของผู้รับไต (Recipient)
- ต้องเป็นผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย (ESRD) และกำลังได้รับการรักษาด้วยการล้างช่องท้องด้วยน้ำยา (Peritoneal dialysis) หรือการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis)
- อายุไม่ควรเกิน 60 ปี
- ไม่มี Active infection
- ไม่เป็นผู้ที่ติดเชื้อ HIV
- ไม่เป็นโรคตับเรื้อรัง (Chronic liver disease) ตามหลักเกณฑ์ข้อบังคับของสมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศไทย
- ไม่เป็นโรคมะเร็ง หรือเป็นโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาให้หายขาดมาแล้วสอย่างน้อย 3 ถึง 5 ปี
- ไม่มีภาวะเสี่ยงสูงต่อการผ่าตัด เช่น Ischemic heart disease, Congestive heart failure, Chronic obstructive pulmonary disease เป็นต้น
- ไม่มี Persistent coagulation abnormality
- ไม่มี Psuchiatric disorder
- ไม่เป็นผู้ติดยาเสพติด
ข้อมูลจาก หน่วยไตเทียม คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์
|