เรื่องสั้น เรื่องความหวังและกำลังใจ


เรื่อง  ความหวังและกำลังใจ

                บริเวณบ้านจัดสรรแถวๆ แจ้งวัฒนะนั้นเงียบสงบในเวลานี้เพราะว่าเป็นเวลากลางคืนเลยเที่ยงคืนไปนิดหน่อย  ถ้าเป็นเวลากลางวันบริเวณหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ก็จะมีคนพลุกพล่าน  มีทั้งรถวิ่งเข้าออก  คนเดินผ่านไปมา  บ้างขี่จักรยาน  มีคนวัยต่างๆ ทุกคนดูมีความสุข  แม้กระทั้งสุนัขและแมวก็ใช่ชีวิตอย่างมีความสุขและสิ่งที่มีชีวิตที่มองไม่เห็นอีก  ถ้าเป็นนอกหมู่บ้านคงไม่ต้องพูดถึงคนเยอะมากเรียนได้ว่าแออัด  รถก็ติด  เพราะแจ้งวัฒนะเป็นย่านธุรกิจต่างๆ มากมาย  เพราะเหตุนี้ดาจึงไม่ชอบออกจากบ้าน  ไม่อยากเจอผู้คน  รำคาญคน  ดาไม่รู้ว่านิสัยแบบนี้เป็นมาเมื่อไหร่  คนรอบข้างของดาไม่ได้สังเกตเห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปนี้  ถึงแม้จะมีเวลาสังเกตเห็นแต่ก็น่าจะเอาสมองไปคิดเรื่องอื่นที่สำคัญมากกว่านี้  ซึ่งครอบครัวดากำลังประสบอยู่

                ดาอยู่ในบ้านของตัวเอง  บ้านของดาไม่ใช่สิมันกำลังจะไม่ใช่แล้ว  บ้านนี้ดากับครอบครัวอยู่มาได้นานหลายปีน่าจะเกือบห้าปี  มีสองชั้น  ชั้นบนจะเป็นห้องนอน  ห้องพระ  ห้องหนังสือ  และห้องน้ำ  ชั้นล่างที่ดาอยู่ตอนนี้เป็นห้องครัว  มีโทรทัศน์เปิดอยู่เป็นรายการข่าวภาคเที่ยงคืน  ดาไม่ได้เปิดทันข่าวแรกๆ  เพราะยังนอนไม่หลับ  หิวจึงลงมาหาอะไรทาน  ความจริงดาไม่ได้อยากรู้เรื่องโลกภายนอกหรอก  แต่ว่าดาเป็นโรคจิตชนิดที่ชอบเปิดโทรทัศน์ถึงจะไม่ดูก็ตาม  ส่วนอื่นๆ ชั้นนี้ของบ้านก็เป็นห้องเหมือนบ้านอื่นๆ ทั่วไป  แต่ตอนนี้ภายในบ้านไม่ได้เปิดไฟยกเว้นห้องครัว  ดานั่งที่โต๊ะอาหาร  มีโทรทัศน์อยู่ที่โต๊ะทำกับข้าว  ดาไม่ปิดไฟที่ห้องนี้ไม่เพราะว่ากลัวผีแต่เป็นเพราะว่าเวลาปิดไฟแล้วจะปวดตา  แล้วนำไปสู่การปวดหัว  ถึงจะเปิดไฟแบบโคมไฟก็ตามมันไม่สว่างเพียงพอสำหรับดา  ภายนอกบ้านเงียบสงัดจริงๆ ไม่มีเสียงใด  นานๆ จะมีเสียงสุนัขข้างบ้านเห่าดาชอบบรรยากาศแบบนี้  สงบดี

                “เอ่อ...โทษนะครับ  อย่า...อย่าเพิ่งตกใจนะครับ  ช่วย...ช่วยฟังผมก่อน....”

                อีกฝ่ายกำลังจะพูดต่ออีก  เพื่อให้ผู้หญิงเจ้าของบ้านไม่ตกใจเกินไปและทำให้เพื่อนบ้านรู้  และกลายเป็นเรื่องจนทำให้ต้องถูกจับส่งตัวกลับ

                “คุณเป็นใคร  อย่าเข้ามานะ”  ดาลุกจากเก้าอี้ตั้งแต่ได้ยินเสียงเขาพูด  และพยายามหนีเอาตัวออกห่างแต่เข้าก็ไม่ได้เข้ามาใกล้  ได้แต่ยืน เก้ๆ กังๆ อยู่ตรงประตูเข้าห้องครัว

                “คุณ...ฟังผมก่อน  ผมไม่ใช่คนร้าย”  พูดด้วยสีหน้ากังวลกลัวอีกฝ่ายจะไม่เชื่อ  ยกมือสองข้างประกอบเหมือนผู้ร้ายที่ยอมจำนนให้ตำรวจจับ

                “คุณบุกรุกบ้านคนอื่นยามวิกาล  เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต  ก็เรียกว่าขโมยทั้งนั้นแหละ”  ดาพูดเสียงสั่นกว่าอีกฝ่ายอีก  ยืนอยู่ไม่สุข  ขาสั่นไปหมด

                “คือ...คือ  คุณฟังผมก่อน  ผมไม่มีอาวุธ  คุณไม่ต้องกลัว  ผมไม่ทำร้ายคุณทุกวิถีทาง  คุณเชื่อผมนะ  เชื่อผมเถอะ  ฟังผมเล่าก่อนนะ  นะ”  เขาพยายามพูดเพื่อทำให้ทุกอย่างสงบลงเพื่อลดเสียงดังอันเกิดขึ้น  แล้วทำให้ข้างบ้านตื่น

                “ไม่  ฉันไม่เชื่อคุณ  อย่าเข้ามานะ”  ดาพูดพร้อมกับมองหามีดหรืออาวุธอื่นป้องกันตัว  แต่ก็ไกลเกินเอื้อม  ทั้งสองฝ่ายไม่กล้าจะเคลื่อนย้ายตัวเอง  เพราะระแวงซึ่งกันและกันอยู่

                “โธ่...”

                “ไม่ต้องพูด  หยุดพูดเลย”  ดาพูดดักคออีกฝ่ายกำลังจะพูดต่อ  หุบปากหยุดพูดทันที  คงตกใจท่าทางนักรักของดาที่เปลี่ยนมาเป็นคนดุไปได้  ความจริงดาไม่ได้คนดุ  เป็นคนสนุกสนาน  เพื่อนบางคนยังหาว่าติ๊งต๊องอีกต่างหาก  แต่ก็จริงสถานการณ์แบบนี้ใครเจอก็ต้องอกสั่นขวัญแขวน  สักพักก็ได้ยินเสียงหวอรถตำรวจดังมา  ใกล้เข้ามา  ชายคนนั้นรีบวิ่งมาที่ดา  ดาวิ่งหนี  ตะโกนร้องให้ช่วยไปด้วย  บอกเขาอย่าให้เข้ามา  แต่ก็ไม่ไวเท่าเขา  เขาจับดาไว้  กดดานั่งลง  เขาอยู่ทางด้านหลังของดา  แขนขวาล็อกแขนส้องข้างของดาไว้ที่หน้าอก  มือซ้ายปิดปากดาไว้  เสียงเขาสั่น  แหบ  กระซิบข้างหูขวาดาไว้ว่า  “ช่วยอยู่เงียบๆ  นะครับ  รับรองว่าผมจะไม่ทำร้ายคุณจริงๆ  ผมหนีมา  ผมหนีเขามา”  แต่ถึงอย่างไรจิตใจดาก็ยังไม่สงบ  ยังตกใจ  หัวใจเต้นแรง  หอบ  เหนื่อยไม่รู้ว่าแรงไปไหนหมดหายใจไม่ค่อยออก  อยากจะพูดแต่พูดไม่ได้  โดยเขารัดแน่นไปหมด  ดาคิดว่าฉันคงต้องตายซะแล้วเพราะเหมือนกับรู้สึกว่ามีคนตามปองร้ายนั้น  ได้เข้าถึงตัวและถึงเวลาที่ต้องฆ่าแล้ว  ดาอยากจะฆ่าตัวตายตั้งหลายครั้ง  ไม่นึกว่าจะมาตายเพราะคนอื่นฆ่า  พอเสียงหวอผ่านไป  เขาก็กระซิบบอกว่า

                “อยู่เงียบๆ นะครับ  ช่วยเชื่อผมเถอะว่าผมจะไม่ทำร้ายคุณ  แล้วผมจะเล่าให้คุณฟัง”  พอเขาเห็นว่าดาเริ่มหายเกร็ง  ไม่ขัดขืน  และผงกหัวยอมรับ  เขาจึงเริ่มค่อยๆ คลายมือออกจากดา  ดาเริ่มขยับตัวออกห่างจากเขา  พอออกห่างได้สักหน่อยก็เริ่มหันมาทางเขา  ดามองเห็นหน้าเขาชัดขึ้น  เขาผิวค่อนข้างขาว  ผมสั้น  ผอม  แต่ที่สำคัญร่างกายทุกส่วนมีแต่รอยสักเต็มไปหมด  ที่ตัว  แขนทั้งสองข้างทางด้านข้างของขาทั้งสองข้างเป็นรูปคล้ายๆ มังกร  ที่ดาเห็นเกือบหมดเพราะเขาสวมแต่กางเกงขาสั้นแค่เข่าตัวเดียว  เขาก็ยังมองดาอยู่คงจะคิดชั่งใจดาอยู่

                “เอ่อ...”  เขาทักขึ้น

                “.....”  ดาตกใจนิดหน่อย  มัวแต่มองเขา  จนเหม่อ

                “ต้องการอะไร”  พอตั้งสติได้ดาก็ถามออกไป  ในขณะที่นั่งในท่าเดิม

                “คือ  ผมไม่ได้ต้องการอะไรแต่ว่าขอหลบนิดหน่อย  แล้วผมก็จะไป”  เขาดูผ่อนคลายไม่กังวลว่าเข้าของบ้านจะไม่ต้อนรับ  ทันใดนั้นช่วงช่องที่ดาเปิดค้างอยู่ก็รายงานข่าวด่วนรายงานความคืบหน้าสถานการณ์ที่เกิดเรื่องเมื่อตอนประมาณสี่ทุ่ม  ความจริงมีรายงานข่าวแล้วช่วงเที่ยงคืนแต่ดาเปิดมาดูไม่ทันข่าวนี้  ทั้งสองจ้องไปที่โทรทัศน์เหมือนกับว่าสิ่งที่ดูอยู่เกี่ยวเนื่องกับตนในขณะนี้จนมี

                รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า  “ถ้าทราบเบาะแสให้ช่วยแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบด้วย  โดยสามารถแจ้งได้ที่...”  ข่าวยังไม่ทันจบ  เขาก็ลุกขึ้นไปปิดโทรทัศน์

                “เป็นเด็กกลุ่มนั้นด้วยใช่ไหม”  ดายังไม่ได้ลุกจากที่  เหมือนยังกลัวๆ  อยู่บ้าง

                “ใช่  แต่ผมอยากกลับบ้าน  อยากใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป  ผมรู้สึกผิดแล้ว  แค่ทำความผิดเพียงครั้งเดียว  ผมเบื่อกิจวัตรในสถานที่แห่งนั้น”  เขาพูดในขณะที่ยืนอยู่

                “ไม่อยากถามหรอกนะว่าทำอะไรผิดทุกคนย่อมมีบ้างที่ทำผิดพลาด  แต่ก็ต้องนำมาเป็นบทเรียน  และไม่ทำอีก  แต่ว่าตอนนี้กลับไปดีกว่าไหม”  ดาแนะนำ

                “คุณไม่เข้าใจหรอกเพราะว่าคุณไม่ได้เข้าไปอยู่อย่างนั้น  แบบผม...”  เขากำลังจะพูดต่อแต่ได้ยินว่าดาพูดแต่เขาฟังไม่ถนัด  จึงถามออกไป

                “คุณพูดว่าอะไรหรือ”  เขาฟังไม่ขัดเพราะการคุยกันก็ด้วยเสียงเบา  แล้วดาก็พูดแบบพึมพำกับตัวเองเท่านั้น  ไม่ได้อยากให้เขาได้ยินสักหน่อย

                “คุณพูดว่าอะไร  ผมไม่ได้ยิน”  เขาถามอีกครั้ง

                “ไม่ต้องสนใจหรอก  ไม่มีอะไร  แค่...เออ...คือ...เรา...ชีวิตของเราตอนนี้ไม่ได้มีความสุขครอบครัวกำลังแย่  และในอนาคตฉันอาจจะไปอยู่ในสถานที่คล้ายกับนายก็ได้”  ดานั่งชันเข่าก้มหน้ากำลังร้องไห้  เพราะเรื่องที่ตัวเองเผชิญอยู่มันแย่มากที่สุดในชีวิต  โดยไม่คิดเปรียบเทียบกับใคร  ไม่ได้เปรียบเทียบแม้กระทั่งชีวิตของคนที่อยู่ตรงหน้า

                “ผมจะกลับไปหาแม่  อยากเจอแม่  ผมไม่ได้เจอแม่นานมาก  ท่านคงลำบากที่จะมาเยี่ยม  และคิดว่าผมอยู่ในนั้น  ไม่มีอะไร”  เขาพูดพร้อมกับนั่งลงกับพื้น

                “ฮื่อๆๆๆๆๆ”  ดาร้องไห้โฮออกมาทันที  เมื่อเขาพูดจบ  ยังฟุบหน้าอยู่ระหว่างเข่า  เขาเห็นจึงกำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นดาก็เงยหน้าทั้งน้ำตา

                “ใช่ๆ  คิดถึงแม่  บางที  แม้ว่าแม่จะรักหรือไม่รัก  แม่จะดีหรือไม่ดี  รักลูกมากรักน้อย  รักลูกมากอยู่และกำลังจะรักน้อยลง  กับลูกยังไง  ลูกก็ยังคิดถึงแม่อยู่ดี  อาจจะเป็นเพราะมันผูกพันทางใจ  เคยอยู่ด้วยกันมานาน  มีอะไรปรึกษากัน  ไม่มีท่านอยู่แล้วใจมันโหวงเหวงว่างเปล่า  เหงาอย่างบอกไม่ถูก  ตื่นมาแต่ละวันไม่รู้ว่าวันนี้แม่จะหนีไปหรือเปล่า  เพราะว่าฉันไม่สามารถทำอะไร  หรือดำเนินชีวิตด้วยตนเองได้  หมายถึง  ไม่มีงานและไม่มีเงินที่จะใช่ชีวิตในสังคม  และฉันเองก็ไม่ชอบสังคมด้วยมันก็เลยไปกันใหญ่”  ดาพูดพร้อมกับเอามือปาดน้ำตาและน้ำมูกไปด้วย

                “คุณเชื่อไหมว่าแม่ผมเป็นคนไปบอกตำรวจ  แจ้งจับผม  ตอนแรกผมก็โกรธ  แต่ว่าพอฟังเหตุผลว่าเราทำผิดก็ต้องยอมรับและดำเนินชีวิตตามกฎหมายของสังคมที่วางไว้”  เขาก็มีน้ำตามาเอ่อๆ ที่ตาทั้งสองข้าง  คิดถึงอดีต  ดาได้ยินก็คิดว่าเขาก็มีความคิดเหมือนกัน  ตอนนี้ดาเริ่มหยุดร้องไห้แล้วแต่ยังสะอื้นอยู่บ้าง  เมื่อคลายความกังวลเกี่ยวกับตัวเขาก็ลุกขึ้นไปเอากระดาษทิชชูมาเช็ดหน้าเช็ดตาเช็ดน้ำมูก  ไปเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้วให้เขา  และเอาขนมปังและผลไม้ออกมาวางบนโต๊ะด้วย  เขาลุกขึ้น  กล่าวขอบคุณและนั่งบนโต๊ะด้วย

                “ฉันนะ  ก็คิดถึงแม่  แต่ก็ไปหาไม่ได้  เพราะว่าแม่กับพ่อหนีไปแล้ว  ฉันอยากตามไปก็ตามไม่ได้เพราะว่าฉันรู้ตัวว่ามีคนคอยสะกดรอยตามอยู่  รู้แต่ทำอะไรไม่ได้  เพราะต้องดำเนินชีวิตต่อไป”

                “ก็คงจะเหมือนกับผมนะที่ตอนนี้แม่อาจจะรู้เรื่อง  และคอยจับผมกับตำรวจอยู่”

                “กลับเถอะ  กลับไปที่นั้น  เพราะคุณยังมีที่อยู่  ฉันซิไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะมาไล่ออกไปจากบ้านนี้  คิดดูนะ...”  ดาหยุด  เพราะน้ำตากำลังจะออกมาอีกแล้ว  “ฉันไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน  ฉันจะทำอะไร  ไปหาแม่ก็ไม่ได้  หาน้าก็ไม่ได้  ญาติๆ  หรือเพื่อนๆ  ก็ไม่สบายใจเท่าพ่อแม่ของตัวเอง”

                “พูดถึงเพื่อนๆ แล้ว  ตอนที่หลบมาก็ต้องมาด้วยกัน  แต่ตอนนี้ก็ต้องเอาชีวิตของตัวเองให้รอดที่สุด  ก็เหมือนกัน  ทุกคนก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง  และตายไปเอง  คนแต่ละคนก็มีความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้นแหละ”  เขาช่วยเสริม

                “ทำยังได้ดี  เหมือนคนอื่นเขาอยากให้ฉันตายไปเร็วๆ  เร็วเท่าไหร่ได้ยิ่งดี  เขาตัดแขนฉัน  ติดขาฉัน  ให้อยู่อย่างลำบาก  เขาก็คือเข้าหนี้และพวกมีอิทธิพลสามารถเห็นฉันมีเงินไม่ได้  เขาจะมาเอาไปทันที  ไม่ว่าจะยึดทรัพย์หรือายัดเงินในบัญชีธนาคาร  ฉันลองไปสมัครงานใกล้ๆ  ก็มีคนตามฉันตลอดเวลา  เหมือนกับว่าฉันไปสมัครงานที่ไหน  เขาก็จะไปบอกที่นั่นว่าห้ามรับฉันเข้าทำงาน  ฉันจะทำยังไงดี  ฉันจะดำเนินชีวิตอย่างไร  หรือฉันจะฆ่าตัวตาย  แต่ฉันก็อยากทำ  ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้มันไม่เจ็บปวด  ฉันกลัว  ฉันเคยกินยาคลายเครียดหลายเม็ด  แต่มันก็แค่หลับนานหลายชั่วโมงฉันอยากเอามีแทง  ฉันไม่กล้าฉันกลัว  บางครั้งก็อยากอยู่มีชีวิตต่อ  เพราะต้องการเอาชนะพวกที่อยากให้ฉันตาย  เพราะจะทำให้พวกนั้นทรมานใจ  ที่ฉันไม่ตายไปซะทีตามที่หวัง  ฉันจะทำยังไงดี”  ดาอยากให้เขาช่วยหาคำตอบ  ด้วยความมืดมนของชีวิตจริงๆ

                “ผมรู้”  เขายิ้มนิดหน่อย

                “จริงหรือ”  ดาดีใจขึ้นมาหน่อย  อยากรู้คำตอบ  จ้องไปที่เขาด้วยดงตาเป็นประกาย

                “ก็คงเป็นคำตอบที่คุณคงไม่ประทับใจเท่าไหร่”  อาจจะเป็นเพราะเขาเห็นดวงหน้าที่สดใสขึ้นของตา

                “ไม่เป็นไรอยากฟัง”  ดาคะยั้นคะยอ

                “ผมชอบคุณ”  เข้ายังจ้องมองตา

                “.....”  ดายังจ้องเขา  แต่คิดว่าเขาพูดเล่น

                “ความหวัง”  เขาพูดออกมาแค่นั้น

                “เอ๊ะ”  ดายังไม่เข้าใจ

                “คุณจะขอบคุณผมไหม”  เขาถาม  ยังจ้องหน้าดาอยู่  ด้วยความตั้งใจ

                “ฉันไม่เข้าใจ  คุณพูดจาวกวน  อย่าล้อเล่นได้ไหม”  ดารู้สึกจริงจังกับชีวิตตอนนี้  ชักไม่ชอบที่เขาจะมาตลกโปกฮา

                “ฟังนะคือ  มันก็เกี่ยวข้องกับความหวังนั้นแหละ  ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม  ถ้าเรามีความหวังว่าสักวันจะดีขึ้น  สักวันต้องเป็นวันของเรา  อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดนะ  แล้วเราก็ดำเนินชีวิตไปตามนั้น  ปล่อยมัน  อย่าไปยึดติด  อย่าไปเอาอะไรมาวัดซิ  ถ้าจะเอาอะไรมาวัด  ก็คิดว่าทุกคนก็เกิดมาร่อนจ้อน  ทุกคนตายไปก็ไม่มีอะไรติดตัวไป  สิ่งของรอบตัวก็แค่สิ่งแวดล้อมรอบตัว  ตัวเราเองจิตใจของเราเองสำคัญที่สุด  รักตัวเองให้มากๆ  อยู่  คิด  ดำเนินชีวิตวันต่อวัน  อย่าไปคิดอดีตที่มันเลวร้าย  คิดแต่อดีตที่มันดี  มันน่ารัก  มันจะได้ช่วยเสริมจิตใจให้เข้มแข็ง  อนาคตเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นอย่าคิดไปเอง  อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด  ดีไหมครับ  เรามาดำเนินชีวิตไปด้วยกันไหม”  เขายังไม่วายคำถามเดิม

                “จริงด้วย  ดีจัง  ได้ฟังแล้วก็ใช่จริงๆ  ถ้าคิดและทำได้แบบนี้  ฮ่อย....สบายใจขึ้นนิดนึง”  ดาถอนหายใจ

                “ผมเห็นคุณดีขึ้น  ก็ดีใจ”

                “บางทีฉันอยากหาคนระบายออกมาก็ได้  มีคนช่วยคิด  มีคนช่วยฟัง  ก็ได้ผ่อนคลาย  ใช่  ตอนนี้  ฉันก็มีทางออกขึ้นมาหน่อย  ขอบคุณนะ  แหมคุณนี่  ท่าทางไม่น่าจะพูดได้ขนาดนี้เลย”  ดาเริ่มยิ้มออก

                “คุณจะมาวัดคนที่ภายนอกไม่ได้นะ  แหมคุณนี่  เห็นแบบนี้นะสู้ชีวิตนะคู้ณ...”  เขาเน้นเสียงสูง

                “ฉันมีคนรักแล้วหรือแฟนนั้นแหละ  แต่เขาไม่ได้มาพูดให้กำลังใจแบบคุณ  จะเรียกว่าคนรักอยู่ได้ไหมนะ”

                “คุณเล่าให้ผมฟังได้  ผมไม่ผิดหวังหรอก  ตราบใดที่ผมยังมีโอกาส”  เขายังแซวอยู่

                “ก็รู้จักกันตอนเรียน  เขาเป็นลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น  แต่ตอนนี้ไปอยู่ญี่ปุ่นแล้วก่อนจะไปก็รู้ว่ารักเขามาก  แต่เยาไปอยู่ญี่ปุ่นแล้วคิดถึงมากและยิ่งรักมากไปอีก  พอโรงเรียนหยุดก็เลยไปญี่ปุ่นแต่ไม่มีโอกาสเจอเขาเพราะว่าเขาอยู่อีกเมืองนึงซึ่งไกล  แต่ถ้าจะมาหาก็น่าจะมาได้  ก็โทรไปคุยกับพ่อแม่เขา  และได้แค่คุยโทรศัพท์กับเขาเท่านั้น  ตอนนั้นอยากเจอเขามากแต่ก็ไม่ได้เจอ  เพราะพอทางญาติที่ญี่ปุ่นพาเที่ยวก็ลืมเขาไปบ้างคนเวลาจวนเจียนใกล้กลับกับคิดอยากเจอเขาขึ้นมา  ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ๆ  แต่คิดว่าเขาน่าจะมีคนใหม่ไปแล้ว  ถามเขาๆ ก็ปฏิเสธ  ก็ไม่รู้ทำไม  กลับมาก็เจอมรสุมมากมาย  คุณเคยเจออะไรที่มันแย่ๆ  ทีเดียวทุกอย่างจนเหมือนกับไม่อยากให้เราได้ผุดได้เกิด

                “เขาอาจจะมีคนใหม่  รักแท้แพ้ใกล้ชิด  แต่คุณก็เก่งนะ  ฟังที่พูดเหมือนกับทำใจได้แล้ว  ถึงขนาดลงทุนตามเขาไปถึงนั่น  แต่ได้รับกลับมาอย่างนั้น  อย่างนี้ผมก็ยังมีโอกาส”  เขายิ้มๆ

                “ทำใจได้แล้ว  เพราะว่าเจอเรื่องที่ต้องคิดมากกว่า  เรื่องนั้นคิดว่าไม่มีปีนั้น  เป็นปีที่กระโดดข้ามมาเป็นปีนี้เลย  ทำใจได้แล้วละ”  ดาถอนหายใจอีกครั้ง

                “คุณหนาวไหม”  ดาเห็นเขาถอดเสื้อตลอด  มีกางเกงขาสั้นตัวเดียว

                “คุณ  ถามแบบนี้  ก็เขินแย่ซิ”  เขาแซว

                “ไม่ใช่อย่างนั้น  เห็นว่าอากาศเริ่มเย็น  จะได้เอาเสื้อมาให้”

                “มีสปาไหม”  เขายิ้มอย่างมีพิรุธ

                “ไม่มีหรอก  บ้านนี้ไม่ได้ใหญ่และมีเงินพอขนาดนั้น”  ดายังคงตอบตามสภาพคามเป็นจริงของบ้านนี้

                “ไม่ใช่  ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น  คือ  ว่าแบบนั้นนะ”  เขายิ้ม  จ้องมาที่ดา

                “ไม่  ไม่มี  ไม่ได้”  ดาเริ่มเข้าใจ  ตอบแบบกระแทกเสียงออกไป  แล้วรีบลุกจากเก้าอี้เดินออกไป

                “แล้วนั่นคุณจะไปไหน  ผมล้อเล่น”  เขารีบลุกตาม

                “ไปเอาเสื้อผ้า  ผ้าเช็ดตัว  แค่อาบน้ำก็พอ”  ดายังคงกระแทกเสียงพูดเช่นเคย  ดาเดินลงบันไดมารู้สึกมึนนิดหน่อย  เห็นเขาจึงนึกได้

                “คุณชื่ออะไร  ถามโอกาสหน้าเจอกันจะได้  ทักทายกัน  ถ้าไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้าก็ได้”  ดาเห็นเขาออกมารอรับที่ชั้นล่าง  ดาได้มองเขาถนัดมากขึ้นนอกจากจะสักเป็นรูปต่างๆ เต็มตัวแล้ว  เขายังผอม  ผอมมากๆ  เห็นซี่โครง  กระดูกไหปลาร้า  และช่องท้องที่แฟบ  เขาไปทำอะไรมา  ถ้าคิดว่าเขาใช้พลังงานเยอะก็คงจะได้  เพราะว่าดูการใช้กำลังของเขาตอนเข้ามาประชิดตัว  คงจะใช้กำลังไปมากก็เลยไม่ค่อยมีพลังงานสะสม  พอมองมาที่ตัวเองถึงแม้จะตัวไม่ได้โตกว่าเขามากแต่ก็ยังอวบด้วนกว่าเขามาก  ตัวใหญ่กว่าเขาอีกเหรอเนี่ย

                “กี้ครับ”

                “อะไรนะคะ”

                “กี้  เป็นภาษาจีน”  เขาพูดซ้ำชัดอีกครั้ง

                “กี้เหรอ  ฉันชื่อดา  นี่เสื้อผ้าของฉัน  ถ้าคุณไม่รังเกียจ  มันไม่ใช่ผู้หญิงจัดหรอกนะ  ซื้อมาแต่ยังไม่ได้ใส่  มีเหมือนกันไหม  ที่เวลาซื้อมาแล้วเรายังไม่ได้ใช้”  ดายื่นของให้  ทำให้ตัวเข้าใกล้เขาอีกครั้ง  จึงได้กลิ่นตัวเขาชัดเจนขึ้น  จนดารู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาจากที่เมื่อสักครู่ตอนลงบันไดมารู้สึกมันหัว  จึงรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ  เขายังไม่ทันตอบอะไรจึงวิ่งตามดาเข้าห้องน้ำไปลูบหลัง

                “คุณแพ้ท้องเหรอ”  เขาสงสัย มือยังลูบหลังอยู่

                “.....”  ดายังอาเจียนไม่หยุด  จึงไม่ได้ตอบออกไป

                “นี่เป็นอาการของคนแพ้ท้องนี่  คุณไปพลาดอีท่าไหน  แหมเห็นติ๋มๆ  ไม่นึกว่าจะไวเหมือนกันแล้วพ่อเด็กละ  ท้องไม่มีพ่อ  แหมสมัยนิยมนะคุณ”  เขายังพูดพร่ำไม่หยุด

                “หยุดพูดได้แล้ว  ฉันไม่เคยไปยุ่งกับใคร  คนชอบคิดไปในทางลบอยู่เรื่อย  และฉันก็ไม่นึกเลยนะว่าคุณจะเป็นคนปากเสียเอามากมาก”  ดาเริ่มหายอาเจียน  หลังล้างปากได้  เอาผ้ามาเช็ดปากแล้วเดินออกมานั่งที่โซฟาห้องรับแขก  หยับหนังสือมาพัด

                “ก็อาการมันฟ้อง”  เขาเดินตามมา

                “นายกี้จะหาเรื่องอะไรฉัน  ฉันก็แค่มึนหัวที่ไม่ได้นอน  ก็นี่มันจะสว่างอยู่แล้วนะ  ไปอาบน้ำก็ไปอาบซะซิ”

                “ครับคุณแม่”  โดยยังทำหน้าล้อเลียน  ก่อนจะเดินไปดาบน้ำ  ในขณะที่เขาอาบน้ำเขาก็ร้องเพลงไปด้วย  บ้างก็พูดอะไรอยู่คนเดียวฟังดูมีความสุขแต่ดาฟังไม่ชัด  เพราะรู้สึกมึนหัวลืมตาไม่ไหวในหัวมันเหมือนพายุหมุน  ดาจึงนอนลงกับโซฟาและพยายามข่มตาให้หลับ  ดารู้สึกตัวอีกทีก็เขาปลุกให้ตื่น  ได้ยินว่า  “ดาเป็นอะไรหรือเปล่า  ดา...”  เขาเอามือมาเขย่าที่ตัว  เอานิ้วมาแตะที่จมูก  เอาหนูมาแนบที่หน้าอก

                “หยุดนะ  ยกมือขึ้น”  มีเสียงตะคอกเข้ามา

                “นี่ตำรวจ  มอบตัวซะ  อย่าหนีอีกเลย  พวกเราจับพรรคพวกเจ้าได้หมดแล้ว”  เสียงตำรวจใกล้เข้ามา  ดาพอจะเห็นลางๆ  เพราะไฟที่ห้องรับแขกไม่ได้เปิดๆแต่ห้องครัว  จึงได้แสงไฟสลัวๆ เท่านั้นเป็นคนหลายคนกำลังเดินเข้ามาใกล้  ดาเริ่มเห็นว่าแต่งชุดตำรวจ  บ้างก็ไม่แต่ง  เป็นผู้ชาย  ในขณะนั้นก็ถูกกี้ดึงเข้าไปประชิดตัวให้ยืน

                “นายจะทำอะไร  นายจะข่มขืนเธอหรือ  อย่า  อย่าทำ”  เสียงตำรวจนายหนึ่งตะโกนมา  มือทุกคนน่าจะถือปืนชี้มา  ตอนนี้ทุกคนยืนนิ่งไม่มีใครขยับเขยื้อน  ห่างประมาณห้าก้าว

                “เปล่านะครับ  ผมเปล่า”  เสียงที่เปล่งออกมาจากปากกี้สั่นเครือ  เหมือนจะร้องไห้

                “ไม่ใช่นะคะคุณตำรวจ เราเป็นเพื่อนกัน  เราคุยกัน  ปรับทุกข์กันก็เท่านั้น”  ด้วยความที่ดายัง สลึมสลือเสียงจึงยังสั่นคลอน  ไม่มีเรี่ยวแรงจะยืน  ได้แรงพยุงจากกี้ทางด้านหลัง  ที่โอบแขนมาพยุงไว้ที่หน้าท้อง

                “งั้นก็ปล่อยเธอ  แล้ววางอาวุธ”  ตำรวจอีกคนยังตะคอกมา  เหมือนระแวดระวังตลอดเวลา

                “ผมไม่มีอาวุธ”  เขาพูดพลางพยุงร่างดาให้นั่งลงที่โซฟา  พอดานั่งดีแล้ว  เขาจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้น  เสียงตำรวจอีกนายตะโกนบอกให้ถอดเสื้อแล้วหมอบลงกับพื้น  เขาก็ทำตามนั้น  โดยยื่นเสื้อของดาที่เพิ่งใส่ได้แป๊บเดียวมาให้  แต่กางเกงยังใส่อยู่  สักพักตำรวจหลายนายวิ่งมาที่เขา  จับกดและรวบมือมาข้างหลังพร้อมใส่กุญแจมือ

                “ผมได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามีคนบุกรุกบ้านนี้  จึงมาดูลาดเลาเอาไว้แล้วเมื่อแน่ใจและสบโอกาสจึงช่วยคุณ”  ตำรวจนอกเครื่องแบบกล่าว  ดาคิดว่าพลเมืองดีนั่นก็น่าจะเป็นคนที่คอยสะกดรอยตามดาอยู่ตลอดเวลาแน่ๆ ไปแจ้งตำรวจ  ไม่อย่างนั้นตำรวจจะรู้ได้อย่างไร  มันต้องอยู่แถวๆนี้แน่

                “คุณตำรวจอย่าทำอะไรเขานะคะ  คือว่าเราเป็นเพื่อนกันจริงๆ  เขาไม่ได้ทำร้ายอะไรเลย  เขาเป็นคนดี  เขาอยากเจอแม่และให้เขาได้เจอด้วยนะคะ”  เมื่อครู่ดายังมึนๆ  แต่ตอนนี้สมองดาตื่นแล้วน้ำตาเริ่มคลอตา

                “เมื่อไหร่เป็นไรก็ดีแล้ว  เขาจะต้องกลับไปในที่ที่เขาต้องกลับไป  ขอตัวก่อนนะครับ”  ตำรวจพาเขาไป  แต่เขาไม่พูดอะไรสักคำ  แต่หันมามองจนลับตาออกจากประตูไป  ดานั่งอยู่ท่านั้นเนิ่นนานจนแสงอาทิตย์ยามเช้า  บางสิ่งบางอย่างตื่นและดำเนินชีวิตต่อไป  เสียงนกกระจิบร้องเสียงระงม  แทนเสียงไก่ขันไปแล้ว

 

คำสำคัญ (Tags): #เรื่องสั้น
หมายเลขบันทึก: 401541เขียนเมื่อ 8 ตุลาคม 2010 09:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2012 15:13 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท