shukur2003


ดังนั้น ผู้เขียนมีทรรศนะว่า การลักพาตัว การทำร้าย และตัดศีรษะผู้บริสุทธิ์ในจังหวัดชายแดนใต้ ไม่อาจถือว่ามันเป็นเหตุผลหรือข้ออ้างที่จะนำมาใช้ในการกระทำที่เป็นที่ต้องห้ามอย่างสิ้นเชิงในอิสลามได้
ทรรศนะอิสลามต่อการ ฆ่าปาดคอผู้บริสุทธิ์ในภาคใต้ และอิรัก

โดย อ.อับดุชชะกุร์ บินชาฟิอีย์ดินอะ(อับดุลสุโก ดินอะ) นักศึกษาปริญญาเอก(ศาสนาเปรียบเทียบ) มหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติมาเลเซีย และผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ  มติชนรายวัน วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 9973

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ ขอความสันติจงมีแด่ศาสดามุฮัมมัด และผู้เจริญรอยตามท่าน และสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

เมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 24 มิถุนายน 2548 ขณะที่นายจัด และนางเสริม สุวรรณชาตรี สองสามีภรรยา พร้อมด้วยสุนัขอีก 1 ตัว ขี่รถจักรยานยนต์พ่วงออกไปกรีดยาง พื้นที่บ้านทุ่งมายู ม.4 ต.ยุโป อ.เมืองยะลา แต่ระหว่างทางคนร้ายวางท่อนไม้ขนาดใหญ่ขวางถนน นายจัดจึงลงรถไปยกท่อนไม้ออก กลุ่มคนร้ายจึงใช้ปืนยิงที่ราวนม 1 นัด หัวเข่าขวา 1 นัด และใต้น่องขวา 2 นัด พร้อมใช้มีดปาดคอเกือบขาด และยังฟันลำตัวเป็นแผลอีกหลายแห่ง

จากนั้นคนร้ายยังใช้มีดเชือดคอนางเสริมจนเกือบขาด และฟันลำตัวอีกหลายแผล เสียชีวิตในสภาพนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์พ่วง นอกจากนี้ คนร้ายยังใช้มีดฟันสุนัขที่ผูกไว้ข้างรถพ่วงตายไปอีก 1 ตัว

จากเหตุการณ์อำมหิตในครั้งนี้เผยแผ่ทางอินเตอร์เน็ต มีการแสดงความคิดเห็นมากมายโจมตีมุสลิมและหลักการณ์ของศาสนาอิสลาม ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้

ดังนั้น เพื่อความเข้าใจในหลักการที่ถูกต้องต่อมุสลิมเอง(หากเขาเป็นผู้กระทำหรือคิดจะกระทำ) และต่างศาสนิกที่เข้าใจผิด ผู้เขียนขอนำคำตอบและแถลงการณ์การลักพาตัว การทำร้ายและตัดศีรษะผู้บริสุทธิ์ที่อิรัคค จากนักปราชญ์ที่ได้รับการยอมรับจากโลกมุสลิมเพื่อเป็นบรรทัดฐานเปรียบเทียบในกรณีภาคใต้ดังนี้

ปราชญ์โลกอิสลาม ประณามการลักพาตัว

การทำร้ายและตัดศีรษะผู้บริสุทธิ์

เชคยุซุฟ อัลก็อรฏอวีย์(ชาวอียิปต์) ประธานของสหภาพนักปราชญ์มุสลิมนานาชาติ (IAMS) ได้กล่าวประณามอย่างรุนแรงต่อการลักพาตัวชาวอิตาลีและชาวฝรั่งเศส ที่ถูกลักพาตัวเมื่อเร็วๆ นี้ในอิรัก พร้อมทั้งเรียกร้องให้ปล่อยตัวทันที ท่านกล่าวในการแถลงข่าวที่เมืองโดฮา ประเทศกาตาร์ ไว้ มีใจความส่วนหนึ่งว่า

"...อิสลามห้ามในการฆ่าประชาชนที่บริสุทธิ์ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับสงคราม..."

"ศาสนาได้กำหนดให้ต่อต้านในการฉุดคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ เพราะเพียงแค่ระแวงสงสัยเท่านั้น"

"มุสลิมห้ามในการลักพาตัวบุคคลที่บริสุทธิ์ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับสงคราม"

"ฉันกล่าวว่า อิสลามไม่มีวันที่จะทำลายชนชาติใดๆ หรือขับไล่ผู้คนออกจากดินแดนของพวกเขา หรือบังคับให้พวกเขาเปลี่ยนศาสนาหรือวัฒนธรรมของพวกเขา " เพราะท่านศาสดามุฮัมมัดศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ให้เกียรติชนชาติอื่นเสมอ และทำการรักษาเลือดชีวิตและเนื้อของพวกเขา"

ท่านยุซุฟ อัลก็อรฏอวีย์ ยังได้ประณามการลักพาตัวเด็กที่เรียนในเมืองเบรสลิน ของประเทศรัสเซีย ซึ่งคนมากกว่า 300 คน ถูกสังหาร ส่วนมากเป็นเด็กเล็กๆ และไม่น้อยกว่า 700 คน ได้รับบาดเจ็บ ในยุทธการชิงตัวประกัน 3 วัน

อย่างไรก็ตาม ยูซุฟ อัลก็อรฏอวีย์ มีทรรศนะว่า เป็นเรื่องชอบธรรมทางกฎหมาย ในการต่อสู้กับกองทัพของอเมริกา ท่านกล่าวว่า

"การต่อสู้กับอเมริกาผู้รุกรานอิรักเป็นสิ่งจำเป็น ฉันต่อต้านชาติที่รุกรานประเทศอื่น โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตาม ฉันขอกล่าวว่า การต่อสู้กับอเมริกาผู้รุกรานเป็นสิ่งจำเป็นซึ่งได้การรับรองโดยศาสนาแห่งฟากฟ้า และการยอมรับจากนานาชาติ"

ชัยคฺ มุฮัมหมัด อัลมุคต้าร อัลชินกิฏียฺ ผู้อำนวยการของศูนย์กลางอิสลามของเซาท์เพลน ลับบอก เท็กซัส สหรัฐอเมริกา ได้กล่าวเกี่ยวกับหลักการอิสลามในเรื่องนี้ว่า

"หนึ่งในกฎในการทำญิฮาดในอิสลามที่ท่านนบี ศ็อลัลอฮุอะลัยฮิวัสัลลัม ได้เน้นย้ำไว้อย่างมากคือ อย่าฆ่าสตรี เด็ก คนแก่ หรือนักบวชที่อยู่ในโบสถ์ของเขา และห้ามตัดต้นไม้ อีกสำนวนหนึ่งของฮะดิษ(วจนะศาสดา) ที่มีรายงานท่านได้กล่าวไว้ว่า...อย่าฆ่าพ่อค้าและเกษตรกร ฮะดิษ(วจนะศาสดา) ทั้งหมดข้างต้นนั้นได้ห้ามอย่างเข้มงวด ในการฆ่า ลักพาตัว จับเป็นตัวประกัน ทรมานด้วยวิธีการใดๆ ต่อผู้ที่ไม่ใช่ศัตรู ในทางตรงกันข้าม มีกฎอื่นๆ ในการจัดการต่อศัตรูและนักรบ หากมุสลิมป้องกันตนเอง หรือป้องกันดินแดนของเขา เขาก็จะถือได้ว่าเป็นนักรบที่มีเกียรติ ซึ่งประกอบไปด้วยทั้งความกล้าหาญและความเมตตา และรักสิทธิของเชลยสงคราม

กฎที่ปฏิบัติเหล่านี้ได้ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ อันเป็นคุณลักษณ์อันสูงส่งของมุสลิม ในหนังสืออารยธรรมอาหรับ ของนักวิชาการฝรั่งเศส กุสตาฟ เลอบองส์ กล่าวว่า "ประวัติศาสตร์ไม่เคยปรากฏหลักฐานความเมตตาของผู้พิชิตยกเว้นมุสลิมเท่านั้น" วันนี้ภาพของอิสลามและมุสลิม ได้ถูกทำให้หม่นหมองด้วยสื่อของโลกาภิวัตน์เป็นอย่างมาก(และมุสลิมที่มีความคิดสุดโต่งด้วย) มุสลิมทุกคนต้องรับผิดชอบต่อทุกการกระทำ และเขาจะต้องตระหนักถึงผลการกระทำของเขาต่อภาพลักษณ์ของอิสลามและมุสลิม ต่อโลกทั้งหมด"

เชค อับดุลมะญีด ซุบฮฺ นักวิชาการศาสนาคนสำคัญของมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ประเทศอียิปต์ ได้กล่าวว่า :-

"เมื่อพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับชาวอิรักบางคนตัดศีรษะพลเมืองอเมริกัน ในนามของอิสลามและกฎหมายอิสลาม ผมประณามการตัดศีรษะเชลยหรือกระทำทารุณกรรมใดๆ ต่อเชลย ยิ่งไปกว่านั้น ผมขอเรียกร้องให้ชาวอิรัก ที่จับทหารอเมริกันไว้เป็นเชลยได้ปฏิบัติตามคำสอนของอิสลามเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเชลยอย่างมีมนุษยธรรม นี่คือหน้าที่ทางศาสนาเหนือพวกเรา ถ้าใครทำทารุณกรรมต่อเชลย พวกเขาก็คือผู้ทำบาปในทรรศนะของพระเจ้า"

นอกจากนั้นแล้ว เชค อับดุล คอลิก ฮะซัน อัชชะรีฟ นักวิชาการมุสลิมคนสำคัญอีกคนกล่าวเพิ่มเติมว่า

"ในอิสลาม มารยาทและศีลธรรมเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่ออิสลาม ด้วยเหตุผลนี้เองที่อิสลามห้ามการกระทำทารุณกรรม การดูหมิ่นเหยียดหยาม และการใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อเชลยโดยสิ้นเชิง...ในที่นี้ ถ้าหากว่าการกระทำดังกล่าวทำไปโดยชาวมุสลิมจริง พวกเขาก็ละเมิดคำสอนของอิสลามและมีบาปอย่างแน่นอน การกระทำเช่นนั้นไม่อาจให้เหตุผลได้ว่าเป็นการกระทำของอิสลาม แต่มันเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจากความไม่รู้เรื่องอิสลาม...จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น ผมอยากจะขอกล่าวว่า ชาวมุสลิมทุกคนจะต้องดูและเอาใจต่างศาสนิก อิสลามไม่อนุญาตให้ทิ้งพลเรือนต่างชาติเหล่านั้น ให้ต้องพบชะตากรรมของตนเองจากบาดแผลของพวกเขา นอกจากนั้นแล้ว อิสลามก็ไม่อนุญาตให้ชาวมุสลิมคนใดข่มขืนชาวอเมริกันหรือผู้หญิงต่างชาติเป็นการแก้แค้น นี่คือมายาทของอิสลามและสิ่งที่เกิดขึ้นกับพลเรือนอเมริกันก็ไม่สามารถถือว่าเป็นการปฏิบัติของมุสลิมที่แท้จริง

ผมไม่สามารถปฏิเสธว่า การตัดศีรษะพลเรือนอเมริกันเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบอาชญากรรมที่กระทำต่อมนุษย์ของทหารอเมริกันที่คุกอบูฆอริบ แต่ผมก็ไม่อาจถือว่ามันเป็นเหตุผลหรือข้ออ้างที่จะนำมาใช้ในการกระทำที่เป็นที่ต้องห้ามอย่างสิ้นเชิงในอิสลามได้"

ดังนั้น ผู้เขียนมีทรรศนะว่า การลักพาตัว การทำร้าย และตัดศีรษะผู้บริสุทธิ์ในจังหวัดชายแดนใต้ ไม่อาจถือว่ามันเป็นเหตุผลหรือข้ออ้างที่จะนำมาใช้ในการกระทำที่เป็นที่ต้องห้ามอย่างสิ้นเชิงในอิสลามได้

และผู้เขียนยังเชื่อแนวคิดสันติวิธีในการแก้ปัญหาของชุมชน ถึงแม้จะใช้เวลาระยะยาวสักแค่ไหน ถึงแม้สายเหยี่ยวของรัฐและผู้ก่อการจะมีทรรศนะว่า สันติวิธีคือการยอมจำนน แต่ผู้เขียนกลับมีทรรศนะว่า สันติวิธีคือไม่ใช่การยอมจำนน และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นโดยไม่ใช้ความรุนแรงของคนส่วนใหญ่ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ของคนทุกเชื้อชาติ และศาสนาในสังคมโลกเดียวกัน และบนแผ่นดินของพระเจ้าเดียวกัน

หมายเหตุ เรียบเรียงจาก 1.บรรจง บินกาซัน http://www.thaimuslimshop.com/ 2.http://www.islam-online.net/

3.http://www.lslamtoday.net/ 4.http://www.fityah.com/

หน้า 6

 

คำสำคัญ (Tags): #วัฒนธรรมศึกษา
หมายเลขบันทึก: 39940เขียนเมื่อ 20 กรกฎาคม 2006 23:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:24 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท