หวานเป็นลมขมเป็นยา


คำภาษิตของคนโบราญจึงบอกว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” หวานเป็นลมหลอกคนหรือสัตว์ให้ตายใจมานักต่อนักแล้ว

ข่าวร้ายครับวันนี้เด็กหญิงภัทรพรตายแล้ว คนที่แม่เคยมาบวชอุทิศให้เมื่อไม่นานนี่เอง ผ่านมาไม่นานเด็กหญิงก็เสียชีวิตลงด้วยความสงบ พ้นจากโรคที่ทำให้ทุกข์ทรมาน โรคอะไรก็ไม่รู้อยู่ๆท้องก็พองใหญ่ขึ้นมาเฉยๆแล้วก็พองอยู่อย่างนั้นคุณหมอก็ไม่รู้ว่าจะรักษาอย่างไร ผมพึงเขียนบันทึกเกี่ยวกับการทำให้สุขภาพดีอยู่เมื่อวันวานนี่เอง บางทีกายบริหารบางอย่างก็ใช้ไม่ได้กับโรคบางโรค ท่านกล่าวเป็นสัจจะไว้ว่า โรคบางโรครักษาก็หายไม่รักษาก็หาย อย่างไข้อีสุกอีใส ไข้หวัดต่างๆ สมัยนี้ไข้หวัดนก ไข้หวัด 2009 ก็ไม่แน่ใจว่าไม่รักษาจะหายหรือเปล่า โรคบางโรคถึงรักษาก็ไม่หาย ที่แน่ก็คือโรค h.i.v. รักษาไม่หายแน่นอนได้แต่ทรงไว้ให้นานๆ ก็ให้คุณหมอทั้งหลายลองพิจารณาก่อนเชื่อครับ

พูดถึงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บมันเป็นของประจำกายติดตัวมาตั้งแต่เกิดพระท่านว่า เกิดแก่เจ็บตายเป็นของประจำกายมาด้วยตลอดเหมือนเงาติดตามตัวฉันนั้น เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทุกข์ประจำสังขาร หรือ สภาวะทุกข์” พูดแบบนักเลงก็ต้องบอกว่าถ้าไม่อยากตายไม่อยากเจ็บป่วยก็ไม่ต้องเกิดสิ คิดดูว่าเราเอาคำว่า อย่าให้ใครคนใดคนหนึ่งได้ผุดได้เกิดมาพูดต่อหน้าคนๆนั้นสิมันจะเกิดวิกฤติยิ่งกว่าโดน m79 นะครับเพราะฉะนั้นอย่าบอกว่าผมเป็นคนต้นคิด

คำสอนให้เราได้ดีมันอาจจะรู้สึกเจ็บบ้าง(เจ็บแต่ก็โอเค)ในบางครั้งแต่มันก็คุ้มกับค่าที่ได้รับ เหมือนยารักษาโรคยาดีก็ขมบ้างตอนแรกแต่ผลของมันคือทำให้หายจากโรคต่างๆ คำสอนแบบนี้คุณหมอน่าจะเข้าใจได้ดีกว่าใครเพราะเจออยู่ทุกวัน ว่าคนป่วยทุกคนที่ไปหาหมอนะไม่ใช่เพราะความหวานของยาเสียที่ไหน ไปแล้วก็จะได้ทานยาขมได้ฉีดยาให้เจ็บปวด บ้างก็ล้อเล่นกับมีดนอนรอการผ่าด้วยความไม่เต็มใจ แต่เมื่อไปหาหมอได้กินยา ได้ฉีดยา ได้ผ่าโรคร้ายต่างๆก็หายนี่คือผลของยาขม เหมือนกันละท่านผู้อ่านที่รักคำสอนเกี่ยวกับ เกิด แก่ เจ็บตาย เป็นของขมสำหรับมนุษย์ผู้ยังมีความไม่รู้ปิดบัง (มีมากด้วย) สังเกตได้จากการฟังธรรมมักจะเบือนหน้าหนี ไม่ก็หันไปคุยกันเสียเป็นส่วนมากมีน้อยจริงๆที่จะสนใจ เพราะอะไร? ก็เพราะว่าความรู้สึกขมตอนแรกของยาคือธรรมรักษานั่นเอง

คำภาษิตของคนโบราญจึงบอกว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” หวานเป็นลมหลอกคนหรือสัตว์ให้ตายใจมานักต่อนักแล้ว ปัจจุบันยังใช้ความหวานมาเคลือบยาที่ขมหลอกคนกลืนลงคออยู่เสมอเรียกว่าใช้ความหวานให้เป็นประโยชน์ พูดถึงความหวานมีหลายชนิด ความหวานอย่างหนึ่งคือใบหน้าหวานๆเป็นอันตรายต่อการประพฤติพรหมจรรย์ยิ่งนัก อย่าทำเป็นเล่นไปเชียวฤๅษีที่ตบะแก่กล้าสามารถลูบคลำพระอาทิตย์และดวงดาราน้อยใหญ่ได้ แสงพระอาทิตย์แผดเผาไม่ได้ ลมพายุใหญ่ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ ฟ้าดินถล่มทะลายก็ไม่กลัว เพราะเดชแห่งตบะอันแก่กล้าเรืองอาคม แต่ก็แพ้ให้กับใบหน้าหวานๆนี้มานักต่อนักแล้วครับท่าน

ดังเห็นได้จากชาดกเรืองของอิสิสิงคารดาบสผู้เรืองเดชที่พ่ายแพ้ต่อมนต์ของนางฟ้าอะลัมพุสา (ขออภัยหากเขียนผิด)  ต่อมาก็ยุคของพระฤาษีต่างที่อยู่ในประเทศไทยก็พ่ายแพ้ต่อมนต์มายา(ที่ไม่ตั้งใจ)ของผู้หญิงทั้งที่เป็นข่าวและไม่ออกข่าว ปัจจุบันก็เป็นข่าวแต่ไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม ถึงไม่จริงแต่ข่าวก็ทำให้เสื่อมเสียนับประมาณไม่ได้แล้วครับ เพราะความสัทธาความเลื่อมใสนับค่าประมาณมิได้หากจะนับด้วยวัตถุ ถามว่าค่าจ้างสักเท่าไหร่ดีจึงจะสามารถทำให้ท่านสัทธาอุทิศตนบวชได้ตลอดชีวิต บางท่านเอาเงินไปจ้างมาวัดเท่าไหร่ก็ไม่มาคนอย่างนี้ก็มีถมไป อย่าว่าแต่จ้างให้บวชตลอดชีวิตเลยแม้แต่สักพรรษาหนึ่งก็หมดไปหลายแสนสำหรับบางท่าน ผมจึงกล่าวว่าความสัทธาที่มีต่อศาสนานั้นนับค่ามิได้ เพราะว่าความสัทธาเป็นเบื้องต้นของความดีต่างๆหากว่าสัทธาหาไม่แล้วเราท่านจะทำความดีได้อย่างไรกัน

คิดถึงตอนแรกที่พระน้านางโคตมีมาขอบวชต่อพระพุทธองค์ ขออยู่ตั้งหลายครั้งพระอานนท์ต้องออกปากช่วยจึงได้บวชโดยข้อแม้ ๘ ประการด้วย ไม่แปลกหากเราคิดว่าทำไม? พระพุทธองค์คงไม่มองในแง่รังเกียจเดียจฉันผู้หญิงดอกระดับพุทธเจ้านักประชาธิปไตยตัวเอ้อยู่แล้วทำไมเรื่องแค่นี้จะคิดไม่ออกแม้แต่เรามนุษย์ปุถุชนยังคิดออกเลย

หากผมจะบอกว่าพระองค์คิดเห็นในแง่ที่ว่าผู้หญิงกับผู้ชายมันเป็นของคู่กันมาแต่ปางปฐม ยากลำบากมากหากจะแยกออกจากกัน หากให้อยู่ใกล้กันแล้วก็จะเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์ของทั้งสองฝ่าย จะก่อเกิดคำติฉินนินทาได้แม้ไม่จริงก็ทำให้เสียหายได้ไม่คุ้มเสียดังเช่นที่เป็นข่าว(หากอ่าน) ท่านคงไม่ได้มองว่าผู้หญิงอ่อนด้อยกว่าผู้ชายเหมือนหลายท่านคิดกันดอกครับ เพราะสุดท้ายก็อย่างที่บอกพระองค์เป็นนักประชาธิปไตยเมื่อการบวชก็เป็นประโยชน์ต่อผู้หญิงซึ่งก็เป็นคนกลุ่มใหญ่เหมือนกันจึงให้บวชโดยมีข้อแม้ของพระองค์ เพราะพระองค์เป็นศาสดาผู้ก่อตั้ง

เขียนเรื่องเด็กหญิงภัทรพรเสียชีวิตไงมาถึงตรงนี้ได้ก็ไม่รู้ เรื่องตายเป็นเรื่องที่พวกเราชาวพุทธควรที่จะระลึกถึงเพื่อเป็นคติเตือนใจให้รู้จัก ผิด ชอบ ชั่วแลดี เป็นยาขมสำหรับโลกมนุษย์อันศิวิไลซ์ ทำเหมือนจะไม่แก่ไม่ตายทำคนให้หลงอยู่กับความงามซึ่งสังขารปรุงแต่งแล้วยึดติดอยู่กับสิ่งเหล่านั้นตลอดกาลอันยาวนาน แต่ในขณะเดียวกันก็ยาหวานนี่ละที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของผู้มีปัญญาจนสามารถถอนตนพ้นไปจากความหลงยึดติดได้

สรูปว่ายาหวานๆหน้าหวานๆก็เป็นประโยชน์หากใช้เป็นเหมือนหมอวิเศษชีวกโกมารภัทร บอกว่าทุกอย่างล้วนเป็นยาในป่าใหญ่อยู่ที่หมอว่าจะใช้เป็นหรือไม่ ก็ขอให้ท่านที่รักของข้าพเจ้าทั้งหลายได้พบยาที่ดีๆทั้งขมแหละหวานในยามที่เจ็บไข้ได้ป่วยครับ ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าได้เจ็บป่วยเลยก็จะเป็นการดี เพราะจะได้ไม่พลัดพรากจากผู้เป็นที่รักยิ่งตั้งแต่ยังเด็กเหมือนเด็กหญิงปรางภัทรพร ขอบุญกุศลจงคุ้มครองเธอไปสู่สุคติด้วยเทอญฯฯฯ

 

หมายเลขบันทึก: 398003เขียนเมื่อ 24 กันยายน 2010 22:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 16:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
  • กราบนมัสการ  ท่านปัญญาวโรค่ะ
  • "หวานเป็นลม  ขมเป็นยา"  สำนวนนี้
    ชวนคิดทั้งในแง่ความหมายโดยตรง  และเชิงนัยประหวัด
  • ...คำพูดที่พูดตรงแต่จริงใจคนรับไม่ได้  สู้คำพูดเสแสร้งแต่ไร้ประโยชน์ไม่ได้...
  • กราบขอบพระคุณที่เมตตาไปทักทายบ่อย ๆ ค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท