ดังที่กล่าวมาแล้วว่า กระบวนการของการเปลี่ยนแปลงในอุปสงค์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาของสินค้าและบริการชนิดนั้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยเหตุอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งถ้าหากว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในปัจจัยเหตุเหล่านั้นแล้ว ก็จะมีอิทธิพลส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในอุปสงค์ด้วย ซึ่งปัจจัยเหล่านั้นได้แก่
ปัจจัยโดยตรง (direct determinant)
๑.ระดับราคาของสินค้าชนิดนั้นๆ ในตลาด (price : Px) โดยปกติทั่วไป เมื่อราคาของสินค้าและบริการสูงขึ้นปริมาณการซื้อสินค้าและบริการนั้นก็จะลดลง และหากราคาของสินค้าและบริการนั้นลดลงปริมาณการซื้อสินค้าและบริการนั้นก็จะเพิ่มขึ้น
ปัจจัยโดยอ้อม (indirect determinant)
๑.ระดับรายได้เฉลี่ยของผู้บริโภค (Income : I) โดยปกติทั่วไปเมื่อรายได้เฉลี่ยของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปจะทำให้ปริมาณการซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยพิจารณาได้ ๒ กรณี กล่าวคือ
๑.๑ กรณีที่เป็นสินค้าปกติ (normal goods) และสินค้าฟุ่มเฟือย (luxury goods) นั้น ความสัมพันธ์ของรายได้กับปริมาณการซื้อจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ หากรายได้เพิ่มขึ้นจะซื้อสินค้าและบริการนั้นเพิ่มขึ้น และหากรายได้ลดลงก็จะซื้อสินค้าและบริการนั้นลดลง
๑.๒ กรณีที่เป็นสินค้าด้อยคุณภาพ (inferior goods) นั้น ความสัมพันธ์ของรายได้กับปริมาณการซื้อจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้าม กล่าวคือ หากรายได้เพิ่มขึ้นจะซื้อสินค้าและบริการนั้นลดลง และหากรายได้ลดลงก็จะซื้อสินค้าและบริการนั้นเพิ่มขึ้น
๒. การเปลี่ยนแปลงไปในราคาสินค้าและบริการอื่นที่เกี่ยวข้องกัน (changing in price of the related goods : Py) สามารถพิจารณาความสัมพันธ์ของราคากับปริมาณซื้อสินค้าและบริการนั้นได้ ๒ กรณี กล่าวคือ
๒.๑ สินค้าที่ใช้ทดแทนกัน (substitute) การเปลี่ยนแปลงไปในราคาของสินค้าที่ใช้ทดแทนกันนี้จะทำให้ปริมาณซื้อสินค้าและบริการเดิม (Qx) เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดี่ยวกัน แม้ว่าระดับราคาสินค้าและบริการเดิม (Px) จะไม่เปลี่ยนแปลงไปก็ตามที เช่น เนื้อหมูกับเนื้อไก่ สมมติคนส่วนใหญ่บริโภคเนื้อหมู (Qx) เป็นประจำ หาก ราคาของเนื้อไก่ (Py) เปลี่ยนแปลงไป ก็จะส่งผลกระทบต่อปริมาณการซื้อเนื้อหมู (ซึ่งราคา : Px ไม่เปลี่ยนแปลง)
- หากราคาเนื้อไก่ (Py) เพิ่มสูงขึ้น จะทำให้คนที่บริโภคเนื้อไก่ (Qy) ลดการบริโภคลง แล้วหันมาบริโภคเนื้อหมู (Qx) เพิ่มขึ้นทดแทนกัน
- หากราคาเนื้อไก่ (Py) ลดลง จะทำให้คนที่บริโภคเนื้อหมู (Qx) ลดการบริโภคลง แล้วหันมาบริโภคเนื้อไก่ (Qy) เพิ่มขึ้นทดแทนกัน
สรุป : ความสัมพันธ์ในกรณีที่เป็นสินค้าทดแทนกัน จะได้ว่า
Py เพิ่ม จะทำให้ Qx เพิ่ม และหาก Py ลด จะทำให้ Qx ลด
๒.๒ สินค้าที่ใช้ประกอบกัน (complement) การเปลี่ยนแปลงไปในราคาของสินค้าที่ใช้ประกอบกันนี้จะทำให้ปริมาณซื้อสินค้าและบริการเดิม (Qx) เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้าม แม้ว่าระดับราคาสินค้าและบริการเดิม (Px) จะไม่เปลี่ยนแปลงไปก็ตามที เช่น กาแฟกับคอฟฟี่เมต สมมติคนส่วนใหญ่บริโภคกาแฟ (Qx) เป็นประจำ หาก ราคาของคอฟฟี่เมต (Py) เปลี่ยนแปลงไป ก็จะส่งผลกระทบต่อปริมาณการซื้อกาแฟ (ซึ่งราคา : Px ไม่เปลี่ยนแปลง)
- หากราคาคอฟฟี่เมต (Py) เพิ่มสูงขึ้น จะทำให้ปริมาณซื้อคอฟฟี่เมต (Qy) ลดลง ส่งผลให้การบริโภคกาแฟ (Qx) ลดลงไปด้วย
- หากราคาคอฟฟี่เมต (Py) ลดลง จะทำให้ปริมาณซื้อคอฟฟี่เมต (Qy) เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การบริโภคกาแฟ (Qx) เพิ่มขึ้นไปด้วย
สรุป : ความสัมพันธ์ในกรณีที่เป็นสินค้าใช้ประกอบกัน จะได้ว่า
Py เพิ่ม จะทำให้ Qx ลด และหาก Py ลด จะทำให้ Qx เพิ่ม
๓.การกระจายรายได้ระหว่างครัวเรือน (income distribution between house hold : Di) ประเทศที่มีการการกระจายรายได้เหลื่อมล้ำกันมาก กล่าวคือ มีทั้งประชากรกลุ่มที่มีรายได้สูงมากและรายได้ต่ำมาก เช่น ประเทศที่มีบ่อน้ำมันนั้น ปรากฏว่า รายได้โดยส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของคนกลุ่มน้อยส่วนคนกลุ่มใหญ่กลับมีรายได้น้อย ซึ่งพฤติกรรมในการบริโภคสินค้าและบริการของคนทั้งสองกลุ่มดังกล่าว ก็จะแตกต่างกันอย่างมาก
- ปริมาณการซื้อสินค้าและบริการบางชนิด (สินค้าและบริการสำหรับผู้ที่มีรายได้สูง) จะเพิ่มขึ้น
- ปริมาณการซื้อสินค้าและบริการบางชนิด (สินค้าและบริการสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำ) จะลดลง
๔. ขนาดของประชากรทั้งหมด (population size : Pz) โดยปกติทั่วไป เมื่อประชากรมีจำนวนเพิ่มขึ้น ความต้องการในสินค้าและบริการก็จะสูงตามไปด้วย โดยมีเงื่อนไขกำกับในประเด็นดังกล่าวก็คือ ในประชากรเหล่านี้จะต้องมีอำนาจซื้อ (purchasing power) เพิ่มขึ้นด้วย
๕. รสนิยมหรือความพอใจ (taste : T) โดยปกติทั่วไปรสนิยมกับปริมาณการซื้อสินค้าและบริการจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ หากสินค้าและบริการใดเป็นที่นิยมของผู้บริโภคส่วนใหญ่ ก็จะทำให้ปริมาณซื้อสินค้าและบริการนั้นเพิ่มขึ้น และหากสินค้าและบริการใดไม่เป็นที่นิยมของผู้บริโภคโดยส่วนใหญ่ ก็จะทำให้ปริมาณซื้อสินค้าและบริการนั้นลดลง
๖. ฤดูกาล (seasonal : S) โดยปกติทั่วไปการเปลี่ยนแปลงในฤดูกาลส่งผลให้ปริมาณการซื้อสินค้าและบริการเปลี่ยนแปลงไปด้วย เช่น ฤดูร้อนปริมาณการซื้อพัดลม เครื่องปรับอากาศ ก็จะเพิ่มมากขึ้นกว่าฤดูกาลอื่น ๆ หรือ หากเข้าฤดูหนาว เครื่องนุ่งห่มกันหนาวก็จะมีปริมาณการซื้อที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น
จากปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดอุปสงค์ดังกล่าว สามารถนำมาเขียนเป็นความสัมพันธ์ทางพีชคณิต เรียกว่า “ฟังก์ชันอุปสงค์” (demand function) ได้ว่า
Qdx = f (Px, I, Py, Di, Pz, T, S)
ฟังก์ชันอุปสงค์ข้างต้นดังกล่าว : ปริมาณการซื้อสินค้าและบริการ X (Qdx) ขึ้นอยู่กับ ราคาของสินค้า X (Px) ระดับรายได้เฉลี่ยของผู้บริโภค (I) ระดับราคาของสินค้าและบริการอื่นที่เกี่ยวข้อง (Py) การกระจายรายได้ของครัวเรือน (Di) ขนาดของประชากรทั้งหมด (Pz) รสนิยมหรือความพอใจของผู้บริโภค (T) และฤดูกาล (S)
ข้อพึงสังเกต : ในการศึกษาอุปสงค์นั้น จะให้ความสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณการซื้อสินค้าและบริการ (Qdx) กับราคา (Px) ซึ่งเป็นปัจจัยโดยตรงเท่านั้น โดยสมมติ กำหนดให้ ปัจจัยโดยอ้อมอื่น ๆ คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง จะได้ว่า
Qdx = f (Px)
ไม่มีความเห็น