กล่าวนำ "ระบบอุปถัมภ์" กับ "ปรากฏการณ์สองมาตรฐาน"


คำว่า “ไพร่” ถูกกลุ่ม นปช. นำมาใช้สร้างความรู้สึกเจ็บปวดเยี่ยงผู้ถูกกระทำอย่างหมดหนทางสู้ เพื่อปลุกระดมมวลชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรากหญ้า ให้ลุกขึ้นเรียกร้องความเสมอภาค (Equality) ในสังคม ตามหลักการพื้นฐานแห่งระบอบประชาธิปไตย โดยพยายามชี้ประเด็นว่า ความไม่เป็นธรรมในสังคมที่เกิดมีขึ้นอยู่อย่างดาษดื่นในสังคมไทยปัจจุบันนี้ เกิดจากการจัดการแบบสองมาตรฐานของผู้ใช้อำนาจฝ่ายบริหาร รวมไปถึงการใช้อำนาจของฝ่ายตุลาการ ซึ่งก็ถูกโจมตีว่า “เป็นไปอย่างมีนัยสำคัญแบบสองมาตรฐาน”


กล่าวนำ  

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ คำว่า สองมาตรฐานถูกใช้อย่างแพร่หลายในระดับต่าง ๆ ทั้งในระดับสื่อสารมวลชนและระดับปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตย (ต่อต้านเผด็จการ) แห่งชาติ หรือ กลุ่ม นปช. ซึ่งสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปเรียกว่า กลุ่มเสื้อแดง  ได้ใช้ประเด็นเกี่ยวกับ การปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน  เพื่อขับเคลื่อนมวลชนเรียกร้องความเป็นธรรม จนกระทั่งบานปลายกลายเป็นการต่อต้านอำนาจรัฐ โดยกลุ่ม นปช. ได้ทำการปราศรัย ตีพิมพ์บทความ และใช้สื่อในระบบเครือข่ายผลประโยชน์ธุรกิจการเมือง กล่าวอ้างถึงความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม  คำว่า ไพร่ ถูกกลุ่ม นปช. นำมาใช้สร้างความรู้สึกเจ็บปวดเยี่ยงผู้ถูกกระทำอย่างหมดหนทางสู้ เพื่อปลุกระดมมวลชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรากหญ้า ให้ลุกขึ้นเรียกร้องความเสมอภาค (Equality) ในสังคม ตามหลักการพื้นฐานแห่งระบอบประชาธิปไตย โดยพยายามชี้ประเด็นว่า ความไม่เป็นธรรมในสังคมที่เกิดมีขึ้นอยู่อย่างดาษดื่นในสังคมไทยปัจจุบันนี้ เกิดจากการจัดการแบบสองมาตรฐานของผู้ใช้อำนาจฝ่ายบริหาร รวมไปถึงการใช้อำนาจของฝ่ายตุลาการ ซึ่งก็ถูกโจมตีว่า เป็นไปอย่างมีนัยสำคัญแบบสองมาตรฐาน

นายตำรวจใหญ่ผู้หนึ่ง ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.๑) ถึงกับเปล่งคำว่า “ม็อบมีเส้น” ให้เกิดมีขึ้นในสังคมไทยจนกลายเป็นวาทะแห่งปีตามที่ได้ปรากฏในสื่อเปิดโดยทั่วไป  อย่างไรก็ดี จากคำว่า “ม็อบมีเส้น” ดังกล่าว เมื่อนำมาพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กลุ่มเสื้อเหลือง) กับ การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตย (ต่อต้านเผด็จการ) แห่งชาติ (กลุ่มเสื้อแดง) ซึ่งได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมืองในลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ได้รับผลกรรมค่อนข้างแตกต่างกัน  โดยในปัจจุบัน (ก.ย.๒๕๕๓)  แกนนำของกลุ่มเสื้อแดงส่วนใหญ่ถูกควบคุมตัว แต่แกนนำทั้งหมดของกลุ่มเสื้อเหลืองยังคงดำเนินชีวิตอย่างเป็นปกติสุข ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ยังคงมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองเกี่ยวกับประเด็น “สองมาตรฐาน” อยู่ทุกวันนี้ 

คำว่า สองมาตรฐาน หรือ “Double Standard” หมายถึง การแสดงท่าทีหรือการปฏิบัติต่อบุคคลสองคนหรือสองกลุ่มแตกต่างกัน ทั้งที่บุคคลสองคนหรือสองกลุ่มนั้น มีพฤติการณ์ และ/หรือ ลักษณะของสิทธิโดยชอบธรรมที่คล้ายคลึงกัน ทั้งนี้อาจสืบเนื่องไปถึงประเด็นการเปรียบเทียบเกี่ยวกับการบริหาร การจัดการ การใช้ระบบ การกำหนดแนวทาง หรือการวางมาตรการ ในบุคคลหรือกลุ่มเป้าหมายทั้งสองแตกต่างกันจนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน 

การปฏิบัติต่อบุคคลหรือกลุ่มเป้าหมายสองกลุ่มอย่างแตกต่างกันนี้ มีสาเหตุมาจากการที่สังคมไทยเป็นสังคมอุปถัมภ์ กล่าวคือบุคคลหนึ่งอาจปฏิบัติต่ออีกบุคคลหนึ่งซึ่งมีความสนิทสนม รู้จักคุ้นเคย หรือเอื้ออำนวยประโยชน์ให้แก่กันและกันมาช้านาน ในลักษณะของการอะลุ้มอล่วย---ช่วยเหลือผ่อนหนักผ่อนเบาให้กัน  เช่น ฝากลูกเข้าเรียน ฝากคนเข้าทำงาน ช่วยเหลือพรรคพวก ญาติ ให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆในวงการราชการ ระบบอุปถัมภ์ได้แทรกซึมอยู่ ในองค์การทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งส่วนใหญ่ในสังคมไทยผูกพันกับการให้ความช่วยเหลือหรืออุปถัมภ์ซึ่งกันและกัน   

 

“ระบบอุปถัมภ์” กับ “ปรากฏการณ์สองมาตรฐาน”

ระบบอุปถัมภ์ หรือ Patronage System” เป็นคำที่คนไทยคุ้นเคยและรู้จักกันมาอย่างช้านาน แต่อาจเป็นเรื่องยากสำหรับบุคคลโดยทั่วไปที่จะสามารถอธิบายความเป็นมาและขยายความคำว่า ระบบอุปถัมภ์ ในประเทศไทยอย่างชัดเจนและครอบคลุม  ระบบอุปถัมภ์ สถิตเสถียรอยู่ในสังคมไทยมายาวนานนับแต่อดีต จากการศึกษาของ ม.ร.ว.อคิน  รพีพัฒน์ ในเรื่อง ระบบอุปถัมภ์และโครงสร้างชนชั้นสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นการศึกษาสังคมไทย พ.ศ.๒๓๒๕-๒๔๑๖ (อ้างถึงใน อมรา  พงศาพิชญ์ และ ปรีชา  คุวินทร์พันธุ์, ๒๕๓๙)  แสดงถึงการจัดระเบียบทางสังคมที่ลดหลั่นลำดับชั้นของคนตามศักดินาที่มีอยู่ พวกไพร่กับทาสถูกจัดให้ขึ้นกับนายโดยการ สักเลก  ความสัมพันธ์ระหว่างไพร่กับมูลนาย หรือข้าราชการชั้นผู้น้อยกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หรือข้าราชการกับเจ้านาย ซึ่งมีลักษณะเป็นระบบอุปถัมภ์ระหว่างบุคคลที่มีความแตกต่างตามฐานะและศักดินา ทั้งมูลนายและไพร่ต่างเสนอและสนองบริการให้แก่กันและกัน  ม.ร.ว.อคิน ยังเสนอข้อคิดเห็นอีกด้วยว่า ระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยเป็นผลมาจากความเชื่อของคนไทยในเรื่องบุญกรรมและเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด กล่าวคือคนเราเกิดมาไม่เท่าเทียมกันด้วยเหตุเพราะในอดีตชาติของแต่ละคนนั้น มีการสั่งสมบุญบารมีมาไม่เท่ากัน จึงทำให้คนไทยยอมรับความแตกต่างในทางฐานะทางสังคมว่า เป็นเรื่องธรรมชาติและธรรมดา  

ลูเซียน เอ็ม แฮงส์ (Lucian M. Hanks)  ม.ร.ว.อคิน  รพีพัฒน์ ร่วมกับนักวิชาการจากสำนักคอร์แนลล์  เช่น เดวิด วิลสัน (David Wilson)  และนักวิชาการท่านอื่น ๆ ได้ชี้ให้เห็นความจริงข้อหนึ่งว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่มีการกำหนดสถานภาพของบุคคล ลดหลั่นจากบนสู่ล่าง นั่นคือสังคมไทยเป็นสังคมที่มีโครงสร้างที่เน้นความแตกต่างระหว่างฐานะตำแหน่ง ซึ่งได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์ที่ฐานะตำแหน่งสูงกว่าและผู้รับอุปถัมภ์ที่มีฐานะต่ำกว่า  แฮงส์ มองว่า โครงสร้างสังคมไทยประกอบด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกัน หรือเป็นความสัมพันธ์ในแนวดิ่งโดยตลอดทั้งสังคม  เจเรมี เคมพ์ (Jeremey H. Kemp) ไม่เห็นด้วยที่จะอธิบายสังคมไทยในระบบมหาภาคโดยใช้แนวคิดเรื่องอุปถัมภ์ของแฮงส์  อย่างไรก็ตามเคมพ์ยอมรับว่า ความคิดของแฮงส์มีประโยชน์ในแง่ของการวิเคราะห์สังคมไทยในระดับจุลภาคที่มีความสัมพันธ์โดยส่วนตัวเป็นพื้นฐาน ระบบอุปถัมภ์ช่วยให้เข้าใจสังคมไทยในระดับย่อย ๆ (Micro Level) (อมรา  พงศาพิชญ์ และ ปรีชา  คุวินทร์พันธุ์, ๒๕๓๙ : ๑-๒๐)

ยิ่งไปกว่านั้น จากการศึกษาของ วิรัช  วิรัชนิภาวรรณ (๒๕๕๒) ในเรื่อง ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ได้กล่าวว่า คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยที่ยึดมั่นในระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเห็นได้จากความสัมพันธ์ของคนไทยจะเป็นแบบผู้นำ-ผู้ตาม ลูกพี่-ลูกน้อง หรือผู้ใหญ่-ผู้น้อย ความสัมพันธ์นี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ดังที่เรียกว่า ข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย  ระบบอุปถัมภ์ประกอบด้วยกลุ่มอุปถัมภ์ยึดถือระบบอุปถัมภ์ ซึ่งหมายถึงกลุ่มที่มีการจัดลำดับสมาชิกเป็นชั้นลดหลั่นกันไป โดยมีผู้นำคนเดียวและมีผู้ตามหลายคน ผู้นำจะรวมอำนาจไว้ที่ตัวเองและมีฐานะสูงกว่าผู้ตาม ผู้นำสามารถผูกพันยึดเหนี่ยวผู้ตามให้จงรักภักดีอยู่ภายใต้อิทธิพลด้วยการจัดสรรผลประโยชน์  เช่น เงินทอง ทรัพย์สิน หรืออำนาจให้อย่างถ้วนหน้าแต่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งต่อมาเรียกว่าระบบอุปถัมภ์หรือระบบพวกพ้อง ระบบนี้มีลักษณะสำคัญดังนี้

ประการแรก  ผู้อุปถัมภ์ อาจเรียกว่า ผู้นำ ลูกพี่ หรือผู้ใหญ่ มีภาระหน้าที่ให้ความช่วยเหลือ ดูแล คุ้มครองและปกป้องบริวารของตนซึ่งได้แก่ ผู้ตาม ลูกน้อง หรือผู้น้อย ซึ่งรวมเรียกว่าผู้รับอุปถัมภ์ ไม่ว่าผู้รับอุปถัมภ์จะถูกหรือผิด ลักษณะเช่นนี้เห็นได้จากในอดีตขุนนางหรือข้าราชการไม่มีเงินเดือนประจำเหมือนในสมัยปัจจุบัน ดังนั้นจึงต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการรับ ของกำนันจากไพร่ซึ่งเป็นลูกน้องของตน อันมีลักษณะคล้ายค่าธรรมเนียมในการปฏิบัติหน้าที่  เพื่อเป็นการตอบแทนต่อของกำนันที่ได้รับจากไพร่ ข้าราชการแต่ละคนจึงมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองแก่ไพร่ของตนจากรัฐและคนอื่น   และในบางกรณี ข้าราชการจะช่วยให้ไพร่ของตนก้าวหน้าขึ้นไปมีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมากขึ้นด้วย  การที่ผู้ใหญ่พิทักษ์ปกป้องผู้น้อยที่กระทำความผิด เห็นได้จากการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หรือไม่สนใจการร้องเรียน หรือแม้กระทั่งหาทางออกให้ลูกน้อง โดยไม่ต้องถูกลงโทษอย่างจริงจังเข้มงวด หรือย้ายไปอยู่พื้นที่อื่นซึ่งอาจไปกระทำความผิดเช่นเดิมนี้ในพื้นที่อื่นต่อไป

ประการที่สอง  ผู้รับอุปถัมภ์หรือผู้น้อยมีภาระหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อผู้ใหญ่ เริ่มจากพยายามแสวงหาผู้ใหญ่ที่มีความสามารถ มีอิทธิพล และมีบารมีไว้สนับสนุนและคุ้มครอง โดยหาช่องทางเข้าไปฝากเนื้อฝากตัว เข้าเป็นพวก และเกาะติดผู้ใหญ่ไว้เพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิต อันเป็นลักษณะของการหวัง "พึ่งใบบุญหรือพึ่งบารมี" การไม่เข้าเป็นพวกเดียวกันกับผู้ใหญ่ อาจถูกมองว่าเป็นศัตรูหรือเป็นฝ่ายตรงข้าม แต่เมื่อเข้าไปเป็นพวกพ้องก็ยิ่งทำให้ระบบพวกพ้องมั่นคงและเข้มแข็งมากขึ้น  นอกจากนี้ ลูกน้องต้องคอยติดสอยห้อยตาม เป็นสมุนเป็นบริวาร ปรนนิบัติรับใช้ประดุจบ่าวไพร่ คอยเออออห่อหมก และเป็นลูกขุนพลอยพยักอยู่เสมอ โดยใช้คำพูดที่ว่า "ครับผม ๆ" หรือ "ถูกครับพี่ ดีครับท่าน" รวมทั้งต้องคอยเคารพยกย่อง สรรเสริญเยินยอผู้ใหญ่ และมือไม้อ่อนตลอดเวลา ในลักษณะผู้น้อยค่อยประนมกร ดังนั้นการที่ผู้น้อยคอยห้อมล้อม ยกย่องสรรเสริญ และเอาอกเอาใจผู้ใหญ่จนเรียกว่าเป็นการ "ก้มหัวให้” เหล่านี้มีส่วนทำให้ผู้น้อยได้รับการแต่งตั้งหรือปูนบำเหน็จรางวัล โดยไม่คำนึงถึงความสามารถหรือผลงานในการปฏิบัติหน้าที่ ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตของผู้น้อยจึงมิได้อยู่ที่ผลงานแต่เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเป็นพวกเดียวกับผู้ใหญ่ ดังคำกล่าวที่ว่า “ค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ผลของงาน แต่อยู่ที่คนของใคร”

ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีสังคมใดอยู่โดยไม่มีพวกพ้องหรือไม่พึ่งพาอาศัยกัน แต่ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่ยึดถือระบบอุปถัมภ์ประการนี้ เป็นไปในลักษณะที่มากเกินกว่าความจำเป็นหรือมากเกินกว่าเหตุ จึงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศทั้งในแง่ของผู้ใหญ่และผู้น้อย กล่าวคือ

ในแง่ของผู้ใหญ่ จะทำให้ลืมตัว รวมอำนาจ และใช้อำนาจในทางมิชอบได้ง่าย สนใจและปูนบำเหน็จรางวัลให้เฉพาะคนใกล้ชิด ไม่มีโอกาสใช้คนที่มีความรู้ความสามารถได้มากเท่าที่ควร เกิดระบบเส้นสายหรือการวิ่งเต้น เกิดการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม ผู้ที่มีความสามารถแต่ไม่มีเส้นสายจะก้าวหน้าได้ยาก และยังเป็นการสนับสนุนให้ผู้น้อยกระทำความผิดอีกด้วย เพราะผู้น้อยจะคิดว่าถึงอย่างไรก็มีผู้ใหญ่คอยช่วย มีเส้นสาย มีเกราะคุ้มกัน

ในแง่ของผู้น้อย ผู้น้อยที่ไม่ประจบสอพลอจะไม่ได้รับการเหลียวแลจากผู้ใหญ่ ผู้น้อยจะเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ท้อแท้ใจ และทำงานไปวันหนึ่ง ๆ อย่างไม่เต็มที่  นอกจากนี้ ระบบอุปถัมภ์ซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานของความไม่เท่าเทียมระหว่างผู้ใหญ่และผู้น้อยได้ก่อให้เกิดความเกรงใจ ซึ่งโดยปรกติผู้น้อยจะเกรงใจผู้ใหญ่ ความเกรงใจที่ผู้น้อยมีต่อผู้ใหญ่ในบางครั้งก็กลายเป็นอุปสรรคของการพัฒนาประเทศ  เช่น คนไทยเกรงใจผู้มีอำนาจ ดังในกรณีที่นายอำเภอหรือปลัดอำเภอไม่แสดงความคิดเห็นตอบโต้ต่อหน้าผู้ว่าราชการจังหวัด วางเฉย ไม่ขัดคอ  ผู้มีอำนาจจะพูดอย่างไรคนไทยก็จะเป็นผู้ฟัง บางครั้งทำตัวเป็น ทองไม่รู้ร้อน การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ผู้น้อยอาจถูกเขม่นและในภายหน้าไม่อาจไปขอความช่วยเหลือหรือพึ่งบารมีได้ (วิรัช  วิรัชนิภาวรรณ, ๒๕๕๒)

“ระบบอุปถัมภ์” ได้กลมกลืนมากับวิถีชีวิตของคนไทยมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ระบบการผลิตยังเป็นระบบศักดินา ไพร่-ทาสสังกัดมูลนาย มีหน้าที่รับใช้ เป็นแรงงาน และเป็นหนึ่งในปัจจัยการผลิตให้แก่มูลนาย ส่วนมูลนายนั้นมีหน้าที่ต้องปกครองและปกป้องข้าทาสบริวาร  จนกระทั่งในยุคปัจจุบันนี้ ระบบอุปถัมภ์ยังได้ถ่ายทอดข้ามเวลามาถึงข้าราชการยุคโลกาภิวัตน์ ระบบอุปถัมภ์แทรกซึมฝังรากลึกอยู่ในระบบราชการ กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ไว้เว้นแม้แต่ในภาคเอกชน ซึ่งคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยผูกพันกับการขอความช่วยเหลือและให้ความช่วยเหลือ หรือเรียกว่า อุปถัมภ์ซึ่งกันและกัน จนอาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยขับเคลื่อนด้วยระบบอุปถัมภ์

นอกจากนั้นแล้ว “ระบบอุปถัมภ์” ยังเป็นกลไกหลักสำคัญอันหนึ่งในระบบราชการ ซึ่งเน้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อให้บริการพวกพ้องและเจ้านาย อันนำไปสู่ “ปรากฏการณ์สองมาตรฐาน”  ผู้ที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจหน้าที่ (Authority)  หรือผู้ที่ให้ผลประโยชน์ไม่ว่าทางหนึ่งทางใดแก่ผู้มีอำนาจหน้าที่ ย่อมได้รับการบริการตามสิทธิ์ที่พึงมีพึงได้อย่างถูกต้องสมควรแก่เวลา ส่วนบุคคลอื่นที่ไม่มีสายสัมพันธ์ และ/หรือ ไม่เคยหรือไม่อาจอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้มีอำนาจหน้าที่ ย่อมได้รับสิทธิ์หรือการบริการช้ากว่าที่ควรเป็น หรืออาจไม่ได้รับสิทธิ์หรือการบริการเลยหากไม่มีการทวงถาม ซึ่งทำให้การบริหารงานราชการขาดความเป็นธรรม (Equity)  อันเป็นการปฏิเสธหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) โดยปริยาย  ทั้งนี้อาจแบ่งผู้ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์สองมาตรฐานได้ ๒ กลุ่ม ดังต่อไปนี้

กลุ่มที่หนึ่ง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ  ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้รับการปฏิบัติแบบสองมาตรฐานย่อมเกิดผลกระทบต่อตัวบุคคลและหน้าที่ราชการ ดังนี้

๑. ข้าราชการ (เจ้าหน้าที่รัฐ) ทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ (Efficiency) เท่าที่ควร เนื่องจากต้องแบ่งหัวคิด จิตจดจ่อ และเวลาส่วนหนึ่ง เพื่อไปติดตามวิ่งเต้นแสวงหาความเจริญเติบโตในอาชีพราชการและสิทธิในอาชีพที่พึงมีพึงได้ของเขา ทั้งนี้เพราะผู้มีอำนาจหน้าที่ (Authority) มักสนับสนุนส่งเสริมเฉพาะพรรคพวกของตน---ละเลยผู้อื่นที่ไม่ใช่พวกพ้อง จนทำให้กระบวนการตามระบบราชการขาดประสิทธิภาพไปด้วย

๒. ข้าราชการ (เจ้าหน้าที่รัฐ) เสียขวัญกำลังใจในการทำงาน (Morale)  เนื่องจากผู้มีอำนาจหน้าที่ (Authority) สนับสนุนส่งเสริมเฉพาะพรรคพวกของตน ระบบราชการโดยรวมขาดประสิทธิภาพจนทำให้เกิดความล้มเหลวด้านประสิทธิผลในการบำบัดทุกข์-บำรุงสุขแก่ประชาชน

กลุ่มที่สอง ประชาชน  ประชาชนได้รับผลกระทบจากการบริการ และ/หรือ การปฏิบัติโดยข้าราชการ (เจ้าหน้าที่รัฐ) แบบสองมาตรฐาน ดังกรณีตัวอย่างต่อไปนี้

๑. ข้าราชการกรมการขนส่งทางบกดำเนินการเกี่ยวกับการขอรับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ให้แก่เพื่อนของตนอย่างรวดเร็วกว่าประชาชนโดยทั่วไป    

๒. พนักงานสอบสวน (เจ้าหน้าที่ตำรวจ) รีบดำเนินการทำสำนวนคดีเพื่อญาติของผู้บังคับบัญชาก่อนประชาชนที่มาแจ้งความร้องทุกข์ตามกระบวนการปกติ

๓. พยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลของรัฐสามารถนำบิดาของเพื่อนตนเองเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาก่อนผู้ป่วยอื่นที่กำลังรอคิว

๔. ตำรวจจราจรออกใบสั่งให้ผู้ใช้ทางที่ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรไปเสียค่าปรับ ๕๐๐ บาท แต่กลับเลือกใช้วิธีว่ากล่าวตักเตือนแก่ลูกชายของเพื่อนที่กระทำความผิดในฐานเดียวกัน

๕. ตำรวจนครบาลสามารถดำเนินการสืบสวน จับคุมผู้ต้องหาคดียกเค้าบ้านพี่สาวของผู้ประกาศข่าวช่อง ๓ (มีชื่อเสียงโด่งดัง) ได้ใน ๓ วัน (เพราะออกข่าวกระตุ้นคดีนี้ทุกเช้า)  ในขณะที่คดียกเค้าบ้านประชาชนทั่วไปในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอีกกว่า ๑,๐๐๐ คดี ไม่สามารถสืบสวนจับคุมผู้กระทำผิดมาลงโทษได้  เป็นต้น 

ถึงแม้ว่าระบบอุปถัมภ์จะถูกมองในทางลบอันเกี่ยวข้องกับการเล่นพรรคเล่นพวก ไม่เลือกใช้ผู้มีความรู้ความสามารถ  อย่างไรก็ตามการคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการในสมัยโบราณนั้น เป็นระบบอุปถัมภ์ที่เปิดเผย ถูกต้อง ไม่ขัดสายตาราษฎร เนื่องจากมีการแข่งขันน้อย เน้นความไว้วางใจของผู้มีอำนาจมากกว่าความรู้ความสามารถของผู้ได้รับคัดเลือก  ดังนั้นผู้มีอำนาจมักจะคัดเลือกลูกหลาน ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง หรือบริวาร ซึ่งบุคคลต่าง ๆ เหล่านี้เป็นคนที่ผู้มีอำนาจให้ความไว้วางใจได้  อนึ่ง ไม่เพียงแต่การคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการในสมัยโบราณจะเป็นตามอัธยาศัยของผู้มีอำนาจแล้ว การให้พ้นจากตำแหน่งก็ยังกระทำกันตามแต่ผู้มีอำนาจจะเห็นสมควร  แต่อย่างไรก็ดี หากผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้ามารับราชการ มีทั้งความรู้ความสามารถและได้รับความไว้วางใจจากผู้มีอำนาจแล้ว ย่อมเป็นหนทางการคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการที่ดีที่สุด ทั้งนี้ทัศนะดังกล่าว อยู่ในคตินิยมของการคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการในสมัยโบราณอยู่แล้ว  กล่าวคือ “เลือกคนดีมีฝีมือมารับราชการ”  คำว่า “คนดี” หมายถึง คนที่มีความซื่อสัตย์ สุจริต จงรักภักดี ให้ความไว้วางใจได้  และคำว่า “คนมีฝีมือ” หมายถึง คนที่มีความรู้ความสามารถในอันที่จะประกอบสรรพกิจให้สำเร็จลุล่วงตามมอบหมาย  ทั้งนี้ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมไทยมักให้น้ำหนักในทาง “คนดี” มากกว่า “คนมีฝีมือ”  โดยเฉพาะในแง่ของความจงรักภักดีและความไว้วางใจได้ 

 

ดร.จักษวัชร  ศิริวรรณ

 


หมายเลขบันทึก: 397028เขียนเมื่อ 22 กันยายน 2010 16:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม 2012 20:05 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

บทความที่อาจารย์เขียนนับเป็นประโยชน์ในการศึกษาเกี่ยวกับความเป็นสองมาตรฐานในสังคมไทยได้อย่างดีครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท