ผ่านมาแล้วบุญข้าวประดับดินของชาวอีสาน(ชาวจ.บึงกาฬ จ.ใหม่ซิงๆยังไม่มีใครเปิดบริสุทธิ์) ปกติถ้าเป็นปีไม่มีอธิกมาส ก็จะตรงกับเดือนเก้า แต่ถ้าเป็นปีอธิกมาสอย่างปีนี้ก็จะเป็นเดือนสิบ การทำบุญข้าวประดับดิน มีความสำคัญต่อลูกหลานของผู้ที่เสียชีวิตมาก เพราะถือว่าเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที หลังจากผ่านบุญข้าวประดับดินไป
นี้เป็นบุญสำหรับพวกผีเปรตที่มากินบุญข้าวประดับดิน
ก็จะเป็นบุญข้าวสลากกะพัด บุญข้าวสลากกะพัดก็จะเป็นบุญต่อเนื่องจากบุญข้าวประดับดิน ซึ่งถือว่าช่วงนี้จะปล่อยผี ให้มารับส่วนบุญจากลูกหลาน ถ้าลูกหลานคนใดไม่ทำบุญ ญาติที่ตายไปก็จะสาปแช่ง ให้เป็นคนทุกข์ ยาก เข็ญใจ รวมเวลาประมาณ ๑๕ วัน หลังจากนั้น ผีเหล่านั้นก็จะกลับไปอยู่ในนรกของมันอีกเช่นเคย พอบุญข้าวสลากกะพัดเสร็จ ก็อีกเดือนหนึ่งก็จะเข้าสู่ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ "เฮ็ดในสิ่งที่เซื่อ เซื่อในสิ่งที่เห็น"
ก็จะได้ไปเบิ่ง บั้งไฟพญานาค กัน
นี้กะพญานาค
บั้งไฟพญานาคเป็นการจูดบั้งไฟของพญานาคเพื่อแข่งขันกันกับมนุษย์ ถ้าบั้งไฟพญานาคขึ้นสูงกว่า ก็จะชนะ ได้ไปบูชารอยพระบาทของพระพุทธเจ้าที่วัดพระธาตุเชิงชุม เมืองสกลนคร ถ้าบั้งไฟพญานาคแพ้ มนุษย์กะสิได้เบิ่งบั้งไฟพญานาคฟรีๆๆๆ โดยบ่ต้องเสียค่าบัตรผ่านประตูลงไปเบิ่งยังเมืองพญานาค แต่หลายปีที่ผ่านมาคนที่มาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ก็ล้วนแล้วแต่บ่เข้าใจประเพณีบุญบั้งไฟพญานาค ก็เลยห้ามคนหรือมนุษย์บ่ให้จุดบั้งไฟในมื้อ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ชาวจังหวัดอื่นกะเลยพรอยอดบ่ได้เบิ่งบั้งไฟ พญานาค ถ้าอีกจักหน่อยเด้อ พอบึงกาฬได้เป็นจังหวัด ซิงๆ ร้อยเปอเซ็นต์เต็ม พวกเฮาชาวบึงกาฬ จะเปิดบริสุทธิ์ เรื่องบั้งไฟพญานาคให้ได้ เบิ่งกันจนตาเปียกตาแฉะเลย
นี้กะพญานาคคือกัน แต่เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด
อยากแกล้งเพื่อนแบบนี้จังเลย....อิอิ
สวัสดีบุษราเพื่อนเลิฟ
จ้า....ได้ยินแล้ว คิดถึงจนหูอื้อเลย และกำลังหิวพอดี ขอบคุณมากเลยเพื่อน
สวัสดีบุษราเพื่อนเลิฟ
วันนี้มีเรื่อง.....บุษรา..ไหนๆๆๆ !!!!วู้เพื่อนเราใจร้อนจัง มีเรื่องเล่าให้ฟัง สมัยก่อนโน้น คนแต่ละภาคยังเดินทางติดต่อกันไม่สะดวกเหมือนทุกวันนี้ นานๆจะมีคนต่างถิ่นเดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน มีครอบครัวหนึ่งในภาคอีสานเรา ครอบครัวนี้มีอาชีพทำไร่ ทำนา อุปกรณ์ที่ใช้ก็มี ไถ จอบ เสียม วันหนึ่งพ่อบ้านออกไปทุ่งนาถือจอบไปด้วย(จอบ ทางอีสานเรียกหมาก กระจก ถ้าจอบอีกอย่างคือแอบดู) แกก็แบกจอบออกไปทุ่งนา ระหว่างทางเกิดข้าศึกโจมตีหน้าด่าน แบบทนไม่ไหวก็ทิ้งจอบไว้ข้างทาง แล้วรีบเข้าไปปลดทุกข์ ระหว่างกำลังปลดทุกข์อย่างสะบาย ก็มีคนเดินมาซึ่งเป็นคนทางกรุงเทพฯ ที่เข้ามาในหมู่บ้านกับลูกจ้างที่ไปทำงานด้วย แกเดินมาคนเดียวเจอจอบข้างทางพอดี แกก็พูดขึ้นว่า "นี้จอบใคร" ชาวอีสานที่กำลังปลดทุกข์อยู่เข้าใจว่าคนกรุงเทพว่าตนเองแอบดูอะไร ก็ตอบว่า "ผมเปล่าจอบนะ ผมกำลัง.....ขอ..อี..ขี..ไม่เอกขี่ ไม้โท.....อยู่ครับ