นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในโอกาสกรมบัญชีกลาง จะครบ 120 ปี พร้อมมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2553


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในโอกาสกรมบัญชีกลาง จะครบ 120 ปี พร้อมมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2553

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน เสวนาวิชาการ เรื่อง  120 ปี กรมบัญชีกลาง
รฤกอดีต...พินิจปัจจุบัน...สู่ความมั่งคั่งและยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย” และมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2553  วันศุกร์ที่ 10 กันยายน  2553  ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ ห้องจูบิลี่ อิมแพค เมืองทองธานี  และกล่าวปาฐกถาพิเศษ  ระบุว่า   “กรมบัญชีกลางเป็นหน่วยงานที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงศตวรรษที่ 2 และเป็นกรมที่มีความสำคัญในกระทรวงการคลัง  รับผิดชอบเงินของแผ่นดิน โดยเป็นผู้วางกฎระเบียบ ข้อบังคับ และควบคุมรักษา เพื่อให้การใช้จ่ายเงินของแผ่นดิน
เกิดประโยชน์สูงสุด ถูกต้องตามระเบียบ รัดกุม และประหยัด ซึ่งต้องอาศัยความละเอียด รอบคอบ ซื่อสัตย์ ความรู้
ความชำนาญและความสามารถของบุคลากรในกรมทุกคน  โดยเฉพาะห้วงเวลาที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ  รัฐบาลสามารถ
ใช้นโยบายการเงินการคลังผ่านเครื่องมือของรัฐ โดยกรมบัญชีกลางเป็นกลไกหลักด้านการคลัง ในการแก้ไขปัญหา
การชะลอตัวทางเศรษฐกิจผ่านแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง  ตามนโยบายสำคัญต่าง ๆ ระยะแรก เช่น โครงการเช็คช่วยชาติ โครงการเรียนฟรี 15 ปี โครงการ เบี้ยยังชีพคนชรา และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จนถึงระยะที่ 2 หรือแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง มีการวางกฎระเบียบปฏิบัติเพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถปฏิบัติงานได้อย่างคล่องตัว ทำให้มีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและเกิดประโยชน์คุ้มค่าแก่ประชาชน”

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการบริหารเงินนอกงบประมาณ ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก รัฐบาล
ได้ให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเงินนอกงบประมาณประเภทเงินทุนหมุนเวียน จำนวน 102 ทุน จำนวนเงินประมาณ 2.56 ล้านล้านบาท  คิดเป็นร้อยละ 28.21 ของ GDP  ดังนั้น การบริหารจัดการทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จะเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ ด้วย  เรื่องนี้ทางกรมบัญชีกลางมีหน้าที่ในการกำกับดูแลและประเมินผลการดำเนินงานของแต่ละกองทุน  โดยมีระบบประเมินผลที่เป็นมาตรฐานสากล เพื่อสนับสนุนกรอบแนวทาง
การดำเนินงานของทุนหมุนเวียนให้เป็นระบบ มีมาตรฐาน และเป็นมืออาชีพยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันเพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานของทุนหมุนเวียน ได้มีการคัดเลือกทุนหมุนเวียนที่มีผลการดำเนินงานดีเด่นและมอบรางวัล 

โดยขอมอบแนวคิดสำหรับกรมบัญชีกลาง ในการก้าวต่อไป เพื่อพัฒนาการทำงานให้สามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง และเป็นเสาหลักทางการคลังของประเทศ  การควบคุมดูแลต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง และสร้างกรอบแนวทางการปฏิบัติการคลังและปลูกฝังธรรมาภิบาลทางการคลังให้กับหน่วยงานภาครัฐควบคู่ไปกับการผ่อนคลาย กฎระเบียบ ข้อบังคับให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขณะเดียวกันต้องแสดงถึงความโปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน

นายพงษ์ภาณุ  เศวตรุนทร์  อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า การมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2553  นี้ มีการแบ่งประเภทรางวัลเป็น 3 ประเภท คือ 

- รางวัลผลการดำเนินงานดีเด่น จำนวน 3 รางวัล  ได้แก่  เงินทุนหมุนเวียนโรงงานเภสัชกรรมทหาร  กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร และกองทุนผู้สูงอายุ

- รางวัลประสิทธิภาพแต่ละด้านดีเด่น  3 รางวัล ได้แก่ ด้านการเงินดีเด่นคือเงินทุนหมุนเวียนการแสดงเหรียญกษาปณ์และเงินตราไทย  ด้านการปฏิบัติการดีเด่นคือกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม และด้านการสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียดีเด่น คือ กองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 

- รางวัลการพัฒนาดีเด่น จำนวน 3 รางวัล  ได้แก่ กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน  เงินทุนหมุนเวียนโรงงานผลิตวัตถุระเบิดทหาร และกองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณสุข

นอกจากนี้ยังมีทุนหมุนเวียนที่ได้รับรางวัลชมเชยอีก 4 ทุน คือ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนคุ้มครองเด็ก เงินทุนหมุนเวียนโรงงานในอารักษ์ และเงินทุนหมุนเวียนในการผลิตเชื้อไรโซเบียม

สำหรับก้าวต่อไปของกรมบัญชีกลาง จะได้นำแนวคิดของฯพณฯนายกรัฐมนตรี มาเป็นกรอบแนวทางการปฏิบัติงานของกรมฯ ต่อไป

หมายเลขบันทึก: 393746เขียนเมื่อ 13 กันยายน 2010 13:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 พฤษภาคม 2012 19:22 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท