ค่าของเงิน (ยี่สิบบาท)


เงิน 20 บาท มีค่ามากสำหรับคนบางคน ในขณะที่ใครหลายๆ คนกินอิ่ม นอนหลับอยู่ในบ้านที่แสนสบาย ใช้เงินฟุ่มเฟือยเต็มสูบไม่มีจำกัด อยากได้อะไรซื้อ อยากกินอะไรกิน ทิ้งๆ ขว้างๆ บ้างตามประสาคนเหลือกินเหลือใช้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง...กลับมีคนที่ยอมเดินด้วยเท้า จากจังหวัดอุบลราชธานี ไปยังจังหวัดอยุธยา........ขอบคุณเจ้าของบทความนี้ เพราะอ่านแล้วคิดถึงตัวเองว่าวันหนึ่งเราเคยเป็นแบบนี้...แล้วคุณล่ะ เคยบ้างไหมว่าเงินเพียงน้อยนิดก็มีค่า ทำให้ชีวิตอยู่ต่อได้อีกวันหนึ่งแล้ว.......และนี่คือตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ยังมีคนอีกจำนวนมากต้องปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
 
ค่าของเงิน (ยี่สิบบาท)



เพียงเพื่อเงินวันละ 20 บาท 

เรื่องที่จะขอนำเสนอต่อไปนี้ 
เป็นเรื่องที่เพื่อนคนหนึ่งประสบเหตุการณ์ด้วยตัวเอง และอยากนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟัง 
ซึ่งเขาก็เล่าว่า ... ผมและครอบครัวได้เดินทางไปเที่ยวจังหวัดอยุธยา ระหว่างทางก่อนที่จะถึงจุดหมาย ผมได้มองไปข้างทางและเห็นชายแก่คนหนึ่งใส่เสื้อสีขาว กางเกงขายาวสีน้ำเงิน กำลังเดินอยู่ข้างทางแบกถุงปุ๋ย พร้อมห่อผ้าขาวม้า 1 ห่อ เดินกลางแดดกลางวันร้อนๆ ยามบ่าย ผมจึงให้แฟนจอดรถและลงไปถามชายชราคนนั้นว่า 


ผม : 
ตาจะไปไหน ทำไมมาเดินตากแดดแบบนี้เล่า 
ตา : 
(ยิ้ม) จะไปอยุธยา 
ผม : 
ตาจะไปทำไมที่อยุธยา ไปหาใครเหรอ 
ตา : 
ไปรับจ้างเลี้ยงวัว มีคนเขาบอกว่าที่อยุธยา มีคนเขาหาคนเลี้ยงวัว 
ผม : 
เขาจ้างวันละเท่าไหร่ ตารู้จักเขาเหรอ 
ตา : 
เขาจ้างวันละ 20 บาท มีที่พักให้ด้วย (ตาหมายถึงนอนกับวัวเลย) ตาไม่รู้จักเขาหรอก ที่ไปนี้ก็ต้องไปถามเขาอีกทีว่าใครจะจ้างตาเลี้ยงวัวบ้าง 
ผม : 
แล้วใครบอกตาว่าที่อยุธยาเขาหาคนเลี้ยงวัว 
ตา : 
คนแถวบ้านตาบอก เขาพูดกันว่าที่อยุธยามีคนเขาหาคนเลี้ยงวัวเยอะ 
ผม : 
ตามาจากไหนละ มาคนเดียวเหรอ แล้วยายไปไหนล่ะ 
ตา : 
ตามาจากอุบลฯ ตามาคนเดียว เพราะยายตายแล้ว 
ผม : 
ลูกๆ ไม่มีเหรอตา 
ตา : 
มีลูก 2 คน ชายคน หญิงคน มีครอบครัวกันหมดแล้ว ไม่เคยเห็นหน้ามาหลายปีแล้ว ยายตายนี่พวกมันยังไม่รู้เลย 
ผม : 
แล้วทำไมตาไม่อยู่บ้าน หางานแถวบ้านทำล่ะ 
ตา : 
ตาไม่มีบ้าน พอยายตาย พี่น้องยายเขาก็ไม่ให้อยู่ในที่ของเขา งานแถวบ้านมี แต่เขาไม่จ้างตาทำ เขาบอกว่าตาแก่แล้ว ทำอะไรช้าไม่ทัน เขาก็ไม่จ้างตา 
ผม : 
แล้วตามาถึงที่นี่ได้อย่างไง 
ตา : 
ตาเดินมาเรื่อยๆ 
ผม : 
เดินมาจากอุบลฯ นะเหรอตา ทำไมไม่นั่งรถเมล์มาล่ะ 
ตา : 
(ยิ้ม) ตาไม่มีตังค์ (ควักเงินออกมาให้ดู ซึ่งในมือตามีเงิน 15 บาท เหรียญ 5 บาท 1 เหรียญ ที่เหลือเป็นเหรียญบาทเก่าๆ สีเขียว) 
ผม : 
แล้วตาออกจากอุบลฯ มาวันไหน 
ตา : 
หลังสงกรานต์ 2 วัน (ยิ้ม) 
ผม : 
แล้วตาเอาอะไรมาด้วย นี่ห่ออะไรที่ตาถือมา 
ตา : 
อ๋อ ห่อกระดูกยาย กับถุงเสื้อผ้าตา 
ผม : 
แล้วตากินอะไรอยู่ 
ตา : 
เดินผ่านร้านที่เขาขายมันต้ม แม่ค้าเขาเลยให้ตามากินฟรีๆ 
ไม่เอาตังค์ตาด้วย
 

ผม : 
(สายตาของผมมองไปที่เท้าของตา เห็นรองเท้าของตามีกระดาษติดที่ส้น) กระดาษติดที่เท้าตานะ ระวังหกล้ม 
ตา : 
(ยิ้ม) อ๋อ ตาเอามันมารองที่เท้าตาเอง เพราะส้นรองเท้ามันขาดแล้ว เวลาเดินมันร้อนส้นเท้า 
ผม : 
แล้วนั่นน้ำอะไรจ๊ะตา (เห็นน้ำสีน้ำตาลในขวดสีขาวขุ่นมากๆ วางอยู่ข้างๆ ตา) 
ตา : 
น้ำกินตาเอง



หลังจากนั่งคุยกับตาแกไปเรื่อยๆ ก็ได้รู้ว่า ตา อายุ 76 ปีแล้ว 
แต่ผมดันลืมถามชื่อแกมา รู้แต่ว่าสิ่งที่ได้สังเกตเห็นตลอดเวลาคือ 
เนื้อตัวค่อนข้างเลอะ มีรอยยุงกัดตามตัวเยอะมาก 

เพราะแกบอกว่าอาศัยนอนข้างถนน นอนศาลา 
และดวงตาของแกฝ้ามัวมาก เหมือนมีเส้นใยบางๆ ในดวงตา 
และอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นก็คือ " รอยยิ้ม " ที่เห็นฟัน 1 ซี่ 


ของแกมีมาให้ตลอดเวลาระหว่างที่สนทนากัน 

ทำให้ผมรู้สึกว่าตาเป็นคนอารมณ์ดี 
จากนั้นผมจึงได้ส่งร่มในมือที่ถือก่อนลงจากรถให้แกไว้ใช้ 
พร้อมเงินอีก 190 บาท (เพราะมีอยู่แค่นั้น) 
ซึ่งตอนที่แกได้ร่ม ตาแกดีใจมาก ยิ้มตลอดเวลา 
ในใจแกคงคิดว่าต่อไปนี้แกคงไม่ต้องเดินร้อนแล้วล่ะ 

อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมตาแกไม่ไปบวช 
หรือขอข้าววัดกิน เรื่องนี้พวกเราคุยกันว่า 
ตาแกยังคงอยากทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ไม่อยากจะขออาศัยวัดกิน 
มีมือมีเท้าก็อยากทำให้เกิดประโยชน์บ้าง 
 

...และนี่คือตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า 
ยังมีคนอีกจำนวนมากต้องปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง 

รู้แบบนี้แล้วทำไมไม่ลองมกงย้อนมาดูตัวเอง 
ว่าวันนี้คุณ 
" พอเพียง " แค่ไหนกัน ? 

ทั้งนี้ผู้เล่าประสบการณ์ คิดได้ว่า เขาโชคดีเหลือเกินที่มีกินมีใช้ เกิดมาไม่ลำบาก มีพ่อแม่ มีเงินให้ใช้ แต่หลังจากเจอตาแล้วทำให้เขาคิดได้ว่า ต่อไปนี้เขาต้องรู้จักใช้เงิน รู้คุณค่าของเงินมากขึ้น เผื่อวันหน้าจะได้ไม่ลำบาก

ขอบคุณ  เจ้าของบทความนี้  และต้องขออนุญาตนำมาเผยแพร่  เพราะเห็นว่าเป็นกุศล  ช่วยเตือนสติคนเราในยุคนี้ได้อย่างดี 

หมายเลขบันทึก: 391710เขียนเมื่อ 6 กันยายน 2010 22:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:29 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เขียนเอง กลับมาอ่านเองจึงเขียน blog ขํนติพโล เพื่อเป็นธรรมทานของชีวิต อ่านบทความนี้ แล้วนึกถึงอดีตเสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เคยลำบาก อดๆอยากๆ อย่างนี้ ก็ผ่านไป แล้วผมก็อยู่รอดมาได้อย่างปลอดภัย เพราะ ขํนติ เป็นทางแห่งปัญญา

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท