กระบวนท่าของการเทศน์


การเทศน์จึงเป็นกระบวนท่าที่บทจะยากกก็ยากบทจะง่ายก็ง่ายเป็นวิชาเฉพาะทางสำหรับบางท่านจริงๆ(วิชาที่สุดยอดอาจไม่มีกระบวนท่า)คล้ายกับว่าเป็นความชำนานมาแล้วจากชาติปางก่อนด้วย

แรม ๗ ค่ำ เดือน ๙ พรุ่งนี้ก็เป็นวันพระข้างแรมเสียแล้วกระผมก็ให้รู้สึกกระวนกระวาย กระสับกระส่ายไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเทศนาชี้แนะญาติโยมพอสมควรได้อย่างไร ปกติเมื่อถึงวันพระผมก็ได้เทศน์กล่าวชี้แนะญาติโยมเป็นประจำอยู่แล้วไม่เห็นว่าจะลำบากใจเหมือนวันพระที่จะมาถึงนี้เลย ที่ได้ขึ้นธรรมาสน์อยู่เป็นประจำก็ไม่ใช่ว่าเทศไพเราะเสนาะโสตสักเท่าใดดอก  แต่เป็นเพราะว่าอายุพรรษาในการครองผ้าเหลืองนั้นนานกว่าเขาสักเล็กน้อย และอีกอย่างบรรดาศิษย์น้อง, ลูก, หลาน, ยังฝึกปรือวิทยายุทธ์ไม่ถึงขั้นต้องรอเวลาอีกสักหน่อย อย่างน้อยก็อีกสักพรรษากาล บรรดาศิษย์น้องของผมนั้นหาผู้มีแววมาสืบทอดวิทยายุทธ์สักกระบวนท่ายังมองไม่เห็นแวว เพราะแต่ละท่านล้วนแต่พึ่งเข้าสำนักมาใหม่ๆ

การทดสอบคัดเลือกศิษย์ในสำนักเพื่อขึ้นมาช่วยงานนั้น การทดสอบกระบวนท่าการเทศนานับเป็นด่านที่ยากสุดของบรรดาพระหนุ่มเณรน้อย ถึงขนาดบางองค์อยู่ปกติพูดไม่ได้เป็นน้ำไหลไฟดับ แต่พอขึ้นเทศน์เท่านั้นละเปลี่ยนนิสัยเป็นท่านผู้ดีกันหมด มารยาทเรียบร้อยนั่งนิ่งเหมือนหุ่นเลย อันนี้ต้องถามศิษย์พี่ทั้งหลายที่ผ่านการทดสอบมาความรู้สึกนะหรือเหมือนจะเป็นไข้ปั่นป่วนสั่นไปทั้งตัวเลย การเทศน์ไม่ใช่ว่าใครๆก็เทศน์ได้นะครับอย่าทำเป็นเล่นไป

การเทศน์นะเป็นวิชาเอกเฉพาะทางมีเคล็ดที่ผู้จะเรียนรู้ต้องจดจำเป็นเอกลักษณ์เชียว ไม่เกี่ยวกับเรียนมากหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับชาติ ตระกูล ยศถาบรรดาศักดิ์ อย่างบางท่านเรียนถึงเปรียญเอก เวลาเทศน์ยังต้องอาศัยว่าตามหนังสือถึงจะได้ก็มี มิเช่นนั้นแล้วเป็นได้ตกธรรมาสน์กันพอดี ตอนผมเที่ยวเสาะหาสำนักฝึกวิทยาอยู่ที่ชลบุรีท่านมหาเปรียญ ๖ ประโยค ให้ท่านขึ้นเทศน์ปากเปล่าไม่ได้ท่านต้องมีที่อาศัยติดไม้ติดมือขึ้นไปด้วยเวลาลืมก็คว้ามาอ่านแล้วก็เทศน์ต่อ และเทศน์ก็ไม่ได้รู้สึกว่าดีกว่าท่านที่ไม่ได้เป็นมหาเท่าไหร่เลยท่านก็รู้ตัวดีเป็นแต่ตำแหน่งมหาของท่านมันบังคับให้ท่านต้องเทศน์

ท่านผู้เป็นบัณฑิตพึงรู้ว่าเมื่อเราสำรวมใจฟังเทศน์ ปาฐกถา การกล่าวคาถา สุภาษิตคำคม อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วบางทีเราก็นึกว่าพระที่มียศใหญ่ พรรษายุกาลมาก การศึกษาดี ท่านคงจะเทศน์กล่าวน่าฟังไพเราะเสนาะหูแต่บางทีก็ไม่ใช่อย่างที่เราคิด ฟังแล้วก็ธรรมดา บางท่านก็ไพเราะอย่างว่า เหมือนกันท่านที่บวชมาไม่นานไม่มียศ การศึกษาไม่สูง บางท่านก็กล่าวได้ลึกซึ้งบางท่านก็กล่าวได้ธรรมดา ฉะนั้นจึงกล่าวว่าใครจะเทศน์เก่งลึกซึ้งเหมือนมหาสมุทร สุขุมคัมภีร์ภาพก็ไม่ขึ้นอยู่กับชาติชั้น วรรณะ ยศถาบรรดาศักดิ์ดอก แต่ขึ้นอยู่ที่การเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า รู้แจ้งเห็นจริงความชำนาญฝึกฝนติดตัวมา

คงจะเหมือนอาชีพบางอย่าง บางท่านก็ถนัดเป็นครูแต่งเพลง บางคนก็ชำนาญร้องเพลง บ้างก็ถนัดเต้น แต่บางคนก็เก่งการประโคมดนตรี คนแต่งเพลงเก่งๆให้ไปร้องบางทีก็ไม่ได้เรื่อง หรือคนเล่นดนตรีเก่งๆให้ไปร้องเพลงก็ไม่เอาอ่าว แต่บางคนก็ทำได้ทุกอย่าง แต่งเอง ร้องเอง ทำจังหวะเอง(ชงเองกินเอง) คนที่เก่งทุกอย่างทั้งบู้และบุ๋นนั้นให้หายากมีน้อยแต่มีขึ้นมาแล้วนับได้ว่าเป็นยอด

เขียนมาถึงตรงนี้ก็ให้นึกไปถึงนักบวชประเภทต่างๆเหล่านี้ คือ พระพุทธเจ้า, พระปัจเจกพุทธเจ้า, พระอรหันตาสาวกพุทธเจ้า,ท่านกล่าวว่าพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นไม่สามารถกล่าว(เทศน์)บัญญัติพระศาสนาได้ และในบรรดาอุตมบุรุษสามประเภทนั้น ยกพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตาสาวกพุทธเจ้าเสีย ที่เหลือคือพระพุทธเจ้านับว่าเป็นเอกอุตมบุรุษที่เยี่ยมยอดที่สุดพระพุทธเจ้าจึงเป็นบุคคลเดียวที่ยอดเยี่ยมในโลกไม่มีบุคคลอื่นใดเท่าในหมื่นโลกธาตุ จึงกล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่อาจมีสองพระองค์ในศาสนาหนึ่ง ต่อเมื่อศาสนาที่พระพุทธเจ้าองค์เก่าสูญสิ้นแล้ว พระพุทธเจ้าองค์ต่อมาถึงจะอุบัติได้ข้อนี้เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ถามว่าเหตุอันใดจึงกล่าวเช่นนั้น? ตอบว่า เพราะสิ่งที่เลิศที่สุดอุดมที่สุดจะต้องมีหนึ่งเดียวไม่มีสองจึงจะเรียกว่าที่สุด ที่หนึ่ง ถ้ามีสอง สามฯก็ไม่ใช่ที่หนึ่งนะสิ อย่างอื่นพอที่จะมีพร้อมกันถึงสอง สาม ได้แต่ความเป็นพุทธะนั้นท่านกล่าวว่ามีไม่ได้ การเป็นหนึ่งในโลกทั้งสามไม่มีผู้ใดเท่า จึงมีพระนามเป็นเอกเฉพาะอยู่ ๙ ประการคือ ๑)ผู้ไกลจากกิเลส ๒)ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ๓)ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และการประพฤติ ๔)ผู้ไปดี ๕)ผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ๖)ผู้ฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า ๗)ผู้สามารถเป็นครูของมนุษย์และเทวดา ๘)ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่ด้วยธรรม ๙)ผู้จำเริญ รู้จักจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์

แม้เพราะเหตุนี้ท่านผู้รู้จึงไม่เอาตนไปเปรียบกับพระพุทธองค์ แต่สมัยนี้ปรากฏว่ามีท่านผู้อยากเป็นศาสดาอยู่เยอะพอดูเหมือนกัน พิเคราะห์ดูแม้แต่บางท่านที่อาศัยคำสอนของพระองค์ก็ยังยกตนประหนึ่งว่าเทียบเท่าก็มีอันนึ้ก็อยู่ที่สาธุชนจะช่วยกันพิจารณา

 อาตมาก็ยังสงสัยอยู่ว่าเหตุไฉนเขาจึงกล่าวว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นพระผู้รู้เฉพาะตนไม่สามารถกล่าวสอนบัญญัติพระศาสนาได้ ความข้อนี้ยังไม่แจ้งสำหรับข้าพเจ้าจึงขอฝากท่านผู้รู้ได้วินิจฉัยเหตุปัจจัยออกมาให้ได้อ่านก็คงดีนับประมาณมิได้

การเทศน์จึงเป็นกระบวนท่าที่บทจะยากกก็ยากบทจะง่ายก็ง่ายเป็นวิชาเฉพาะทางสำหรับบางท่านจริงๆ(วิชาที่สุดยอดอาจไม่มีกระบวนท่า)คล้ายกับว่าเป็นความชำนานมาแล้วจากชาติปางก่อนด้วย เรียกว่าเป็นอุปนิสัยตามส่งกันเลยเชียว การกระทำบ่อยๆเรียกว่าอุปนิสัยติดตัวจนชำนาญคล่องปากเจนใจ เราจะเห็นว่าทางพระพุทธศาสนาจะให้ความสำคัญต่อการกระทำของตัวเองอยู่ไม่น้อยเพราะว่าการกระทำคือพฤติกรรม เปลี่ยนเป็นนิสัยใจคอ เพราะฉะนั้นเราจะทำอะไรก็ให้คิดให้ดีก่อนจึ่งค่อยลงมือ เมื่อลงมือแล้วไม่มีโอกาสได้คิดแล้วจะเสียดายภายหลังสำนึกผิดก็ไม่ใคร่เกิดประโยชน์สักเท่าใด มีภาษิตที่ติดหูพวกเราอยู่บทหนึ่งว่า “กัมมุนา วัตตี โลโก” สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม(การกระทำของตัว)

เขียนมาก็สมควรแล้ว ยังไม่รู้อยู่ดีว่าจะเทศน์เรื่องอะไรดี วันพระพรุ่งนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้สำรวมกายสำรวมใจของตนๆให้ดี ตั้งอยู่ในครรลองครองธรรมอันดี ชีวิตที่ดีสมบูรณ์ทั้งกายวาจาใจ จึงจัดว่าเป็นผู้จะไปดี คงไม่มีสิ่งดีๆใดที่ปรารถนามากกว่านี้อีก ก็ขอให้เราท่านทั้งหลายสมปรารถนาเถิด สาธุฯฯฯ

หมายเลขบันทึก: 390084เขียนเมื่อ 1 กันยายน 2010 19:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2012 16:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
  • กราบนมัสการ  ท่านปัญญาวโร
  • การเทศน์สอนผู้อื่นนับว่าเป็นศิลปะ  ต้องใช้ทั้งศาสตร์บวกศิลป์
    สอดแทรกกลยุทธ์ทุกวิถีทางโยมจึงจะเข้าถึงและเข้าใจ
  • เคยฟังว่ามีพระอยู่รูปหนึ่งทุกครั้งจะเทศน์แต่เรื่องศีลห้า...
    กี่ครั้ง ๆ ก็เทศน์เรื่องศีลห้า   โยมเริ่มเบื่อและเอือมระอา
    พูดกับหลวงพ่อว่า  "ทำไมหลวงพ่อเทศน์แต่เรื่องศีลห้า  แล้วเรื่องอื่นไม่มีแล้วหรือครับ ?"
    หลวงพ่อตอบว่า  "เทศน์แต่ศีลห้านี่แหละมานานแล้ว  ว่าแต่ว่าโยมรักษาได้แล้วหรือยัง"
  • กราบอนุโมทนาค่ะ

คุณธรรมทิพย์ เจริญธรรมตอนค่ำๆเข้าไปอ่านกลอนของสืบนาคเสถียรมาแล้วนะ น้ำตาจะไหลบางทีสืบนาคเสถียรอาจกำลังเทศน์โดยการกระทำให้อาตมาได้สำนึกก็ได้ ก็เขียนไปเรื่อยๆว่าจะเขียนให้ทันทุกวันพระนะ ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเป็นกำลังใจสำหรับพระ

ตามจริงอย่าคิดว่ากำลังสนทนาอยู่กับพระก็ได้นะเพราะถ้าคิดอย่างนั้นบางทีก็ให้ระวังคำพูดไม่กล้าแสดงออกก็มี แต่ถ้าคิดว่ากำลังแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนสหธรรมิก มันน่าจะได้อะไรๆมากกว่า จะได้ไม่มีระหว่างขั้นและไม่ถือโทษโกรธเมื่อผิดพลาด สาธุ

มาชม

มีสาระน่าสนใจนะครับผม...พระคุณเจ้า...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท