ตำนานนางเลือดขาว เป็นตำนานที่เล่ากันแพร่หลายในท้องถิ่น ทั้งในจังหวัดพัทลุง นครศรีธรรมราช สงขลา และตรัง ที่เกิดของตำนานเรื่องนางเลือดขาวนี้คือ บ้านพระเกิด อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง แล้วแพร่หลายไปยังจังหวัดใกล้เคียง เนื้อเรื่องมีดังนี้
ในอดีตกาลพระพุทธศาสนาล่วงแล้ว 273 ปี ณ ชมพูทวีป ประเทศอินเดีย เมื่อพระเจ้าพินธุสารเสด็จสวรรคต โอรสของพระองค์ได้เกิดการแก่งแย่งชิงราชสมบัติ มีการรบราฆ่าฟันกันในหมู่เชื้อพระวงศ์ จนในที่สุดอโศกกุมารก็มีชัยได้ราชสมบัติครอบครองเมืองปาฎลีบุตรแห่งแคว้นมคธ เมื่อพระเจ้าอโศกราชเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติแล้ว ทรงได้ขยายแสนยานุภาพของอาณาจักรมคธออกไปอย่างกว้างขวาง โดยการทำสงครามปราบปรามแคว้นต่างๆไว้ในอำนาจสงครามครั้งสำคัญ คือสงครามปราบแคว้นกลิงคราษฎร์ ในสงครามครั้งนี้ได้มีการทำสงครามกันจนมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากมาย ทำให้ผู้คนที่ได้รับความเดือดร้อนจากผลของสงคราม พากันลงเรืออพยพออกนอกอาณาจักรผ่านทะเลอันดามัน แล้วแยกย้ายกันขึ้นฝั่งทางด้านตะวันตกของภาคใต้ในประเทศไทย ซึ่งได้มีชาวอินเดียบางส่วนขึ้นฝั่งที่ท่าประตูทะเลหรือท่าประตูเล (อำเภอปะเลียน จังหวัดตรัง) แล้วเดินทางข้ามแดนช่องเขาบรรทัดผ่านเมืองตระแล้วแยกย้ายเป็น 2 สาย คือ
สายที่ 1 เดินทางแยกไปทางทิศใต้จนถึงเขาปัจจันตระ (เขาจันทร์) แล้วร่องเรือลงตามลุ่มน้ำฝาละมี มาขึ้นฝั่งพำนักอยู่ที่”ท่าเทิดครู”(บ้านท่าเทิดครู ตำบลหารเทา อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง)
สายที่ 2 เดินทางแยกไปทางทิศเหนือเลียบเชิงเขาจนถึงบ้านโหมด เข้าพำนับอยู่ในถ้ำไม้ไผ่ตง และถ้ำไม้ไผ่เสรียงเรียกสถานที่นั้นว่า ที่โมชฬะ หรือ ที่ปราโมทย์ ต่อมาเพี้ยนเป็นตะโหมด (ตำบลตะโหมด จังหวัดพัทลุง)
ในครั้งนั้นยังมีตายายสองผัวเมียคู่หนึ่ง คือ ตาสามโมกับยายเพชร อยู่ที่ตำบลปละท่า ทิศตะวันตกของทะเลสาบสงขลา คือ บ้านพระเกิด ตำบลฝาละมี อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุงตาสามโมเป็นหมอสดำหรือหมอช้างขวา เป็นผู้มีหน้าที่จับช้างป่ามาฝึกหัดสำหรับส่งไปให้เจ้าพระยากรุงทองเจ้าเมืองสทิงพาราณสี ปีละ 1 เชือก เรียกสถานที่นั้นว่า ที่คช หรือ ที่ส่วยช้าง มีอาณาเขตถึงบ้านท่ามะเดื่อ ตำบลท่ามะเดื่อ อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง
ครั้งหนึ่งตายายทั้งสองได้เดินทางไปจับช่างป่าจนเลยไปถึงถิ่นปราโมทย์พบชาวอินเดียที่ถ้ำไม้ไผ่ตงได้รู้จักสนิทสนมกันเป็นอย่างดี ชาวอินเดียได้ยกบุตรีให้ตายายคนหนึ่ง ตายายทั้งสองได้รับบุตรบุญธรรม นำมาเลี้ยงไว้ที่บ้านพระเกิดให้ชื่อว่า นางเลือดขาว เพราะเป็นผู้ที่มีผิวขาวกว่าชาวพื้นเมือง อยู่ต่อมาไม่นานตายายทั้งสองได้คิดคำนึงว่าควรจะหาบุตรชายชาวอินเดียไว้สักคนหนึ่ง เพื่อเป็นคู่ครองของนางเลือดขาวในเวลาต่อไป ทั้งสองจึงได้เดินทางไปขอบุตรชายชาวอินเดียที่อาศัยที่ถ้ำไม้ไฝ่เสรียงไว้เป็นบุตรบุญธรรมให้ชื่อว่า กุมารหรือเจ้าหน่อ
วันหนึ่งช้างพังตลับของตาสามโมได้หายไปจากบ้านถึง 15 วัน ตาสามโมจึงออกเดินทางติดตามช้างไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้านพระเกิด จนถึงคลองบางแก้วก็ไปพบช้างพังนอนทับขุมทรัพย์ไว้ ตาสามโมจึงนำทรัพย์สมบัติบางส่วนและช้างกลับบ้านพระเกิด เมื่อได้ปรึกษากับยายเพชรเพื่อให้สะดวกต่อการรักษาทรัพย์สมบัติ ทั้งสองเห็นควรที่จะย้ายไปอยู่บ้านแก้ว แต่ก็ยังไม่ได้ดำเนินการโยกย้ายในทันที อยู่ต่อมาอีกหลายปีจนกระทั่งบุตรทั้งสองมีอายุได้ 19 ปี ตายายทั้งสองจึงจัดพิธีให้นางเลือดขาวกับกุมารแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน แล้วจึงโยกย้ายจากบ้านพระเกิดไปยังบางแก้วโดยนางเลือดขาวกับกุมารขี่ช้างพังตลับ มีควาญช้างชื่อนายแก่นคง ตาสามโมกับยายเพชรขี่ช้างพลายคชวิชัย มีควาญช้างชื่อหมอสีเทพ ออกเดินทางไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจนถึงบางแก้ว จึงตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ๆกับขุมทรัพย์ อยู่ต่อมาไม่นานตาสามโมกับยายเพชรก็ถึงแก่กรรม กุมารกับนางเลือดขาวได้ทำการณาปนกิจศพเสร็จแล้ว นำอิฐไปฝังไว้ในคูหาสวรรค์และได้สร้างรูปฤาษีตาไฟไว้เป็นอนุสรณ์รูปหนึ่ง แล้วจึงเดินทางกลับบ้านบางแก้ว
หลังจากตายายทั้งสองถึงแก่กรรมแล้วกุมารกับนางเลือดขาวได้รับมรดกเป็นนายกองช้าง เลี้ยงช้างส่งให้พระยากรุงทองต่อไป ต่อมาทั้งสองได้ปรึกษาตกลงกันว่าควรนำทรัพย์สมบัติมาสร้างบุญกุศลขึ้นในพระพุทธศาสนา เพื่ออุทิศให้ตายายทั้งสองที่ล่วงลับไปแล้ว ทั้งสองจึงได้นำบริวารทำการถากถางป่าบริเวณริมคลองบางแก้ว สร้างเป็นกุฏิ วิหาร อุโบสถ พระธรรมศาสนา พระพุทธรูป เสร็จแล้วเจ้าพระยากรุงทองได้เดินทางมาร่วมกันสร้างพระมหาธาตุขึ้นที่วัดเขี้ยนบางแก้ว ตั้งแต่นั้นมาได้มีการเรียกสถานที่นั้นว่า ที่วัด มีอาณาเขตถึงบ้านดอนจิงจาย อำเภอเขาชัยสน
ต่อมาเจ้าพระยากรุงทอง กุมารและนางเลือดขาวได้สร้างถนนจากบ้านบางแก้วถึงบ้านสทังและได้สร้างวัดสทังใหญ่ขึ้น 1 วัด มีพระมหาธาตุ อุโบสถ วิหารและพระพุทธรูป เมื่อเสด็จแล้วได้สร้างวัดสทิงพระขึ้นนทางฝั่งตะวันออกของทะเลสาบสงขลามีพระพุทธไสยาสน์ พระมหาธาตุเจดีย์ ได้ทำการฉลองทั้ง 3 อาราม ได้จารึกลงในแผ่นทองคำให้ชื่อว่า”เพลานางเลือดขาว”หรือ”เพลาวัดบางแก้ว”หรือ”เพลาเมืองสทิงพระ”ตรงกับวันพฤหัสดี เดือน 8 ขึ้น 5 ค่ำ ปีกุน เอสก พ.ศ.1482
จากนั้นมาที่บ้านบางแก้วก็กลายเป็นชุมชนใหญ่ที่พ่อค้าวาณิชเดินทางมาค้าขาย กุมารกับนางเลือดขาวจึงสร้างเมืองพัทลุงขึ้นที่โคกเมือง ทางทิศเหนือของวัดเขียนบางแก้วทั้งสองได้ปกครองเมืองพัทลุงขึ้นที่โคกเมือง คนทั่วไปจึงเรียกว่า”เจ้าพระยากุมาร” ต่อมาราว พ.ศ.1493 เจ้าพระยากุมารกับนางเลือดขาวทราบมาว่า เจ้าพระยาศรีธรรมโศกราช เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจะส่งทูตไปสืบค้นหาพระบรมสารีธาตุที่เกาะลังกา ทูตจากเมืองนครศรีธรรมราชขี่ช้างไปทางห้วยยอดเมืองตรังแล้วลงเรือที่แม่น้ำยังท่าเรือกันตัง เจ้าพระยากุมารกับนางเลือดขาวจึงขี่ช้างจากบางแก้วไปยังสถานที่แห่งหนึ่งพบเมืองร้องอยู่ จึงเรียกที่นั้นว่า “บ้านทะหมีร่ำ”(ทะ คือ พบ ,ร่ำ คือร้อง) คือ บ้านท่ามิหรำ อำเภอพัทลุงในปัจจุบัน เมื่อถึงเมืองตรังเจ้าพระยากุมารกับนางเลือดขาวได้สร้างวัดขึ้นวัดหนึ่ง ชื่อว่า”วัดพระงาม” แล้วไปลงเรือทูตเมืองนครศรีธรรมราชที่ท่าเรือกันตัง แล่นเรือไปเกาะลังกา
ตอนขากลับจากเกาะลังกา เจ้าพระยากุมารกับนางเลือดขาวและทูตเมืองนครศรีธรรมราช ได้นำพระบรมสารีริกธาตุกับพระพุทธสิหิงค์มาด้วย ขึ้นฝั่งที่ปากน้ำเมืองตรัง เดินทางไปพักแรมค้างคืน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เจ้าพระยากุมารกับนางเลือดขาวได้สร้างวัดหนึ่งชื่อว่า”วัดพระพุทธสิหิงค์” และยังได้จำลองรูปพระพุทธสิหิงค์ไว้ที่วัด 1 องค์ ก่อนเดินทางกลับเจ้าพระยากุมารกับนางเลือดขาวยังได้สร้างพระนอนไว้ที่วัดถ้ำพระพุทธ ตำบลหนองบัว อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง 1 องค์ แล้วจึงเดินทางกลับบางแก้ว เจ้าพระยากุมารกับนางเลือดขาวได้นำพระบรมสารีริกธาตุบรรจุไว้ในพระเจดีย์วัดเขียนบางแก้ว และยังได้สร้างวัดขึ้นที่ชายหาดปากบางแก้ว ก่อพระพุทธไสยาสน์ พระเจดีย์ อุโบสถ วิหาร ให้ชื่อว่าวัดพระนอน หรือวัดพระพุทธไสยาสน์ ทำการฉลองพร้อมกับวัดพระพุทธสิหิงค์หรือวัดหิงค์ที่เมืองตรัง เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 แรม 5 ค่ำ ปีกุนเอกศก พ.ศ.1496
ครั้งหนึ่งเจ้าพระยากุมารกับนางเลือดขาวเดินทางเที่ยวไปถึงเมืองนครศรีธรรมราช ได้พักอยู่ที่บ้านหนองหงส์ อำเภอทุ่งสงเป็นเวลา 1 คืน แล้วเดินทางต่อไปจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช ได้เข้าไปบูชาพระอัฐิธาตุของเจ้าพระยาศรีธรรมโศกราชองค์ก่อน ได้สร้างสาธารณะประโยชน์ไว้หลายตำบล เช่น ขุดสระน้ำที่วัดเขาขุนพนม 1 แห่ง เป็นต้น
เมื่อข่าวความงามของนางเลือดขาวร่ำลือเข้าไปถึงกรุงสุโขทัย พระเจ้ากรุงสุโขทัยได้โปรดเกล้าให้พระยาพิษณุโลกกับนางทองจันทร์คุมขบวนเรือนางสนมออไปรับนางเลือดขาวถึงเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อจะทรงนำไปชุบเลี้ยงเป็นพระมเหสีส่วนเจ้าพระยากุมารก็เดินทางกลับมาอยู่บ้านพระเกิด
ครั้นนางเลือดขาวเข้าไปถึงกรุงสุโขทัยได้เข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสุโขทัยแต่พระองค์มิได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระมเหสีหรือนางสนม ด้วยนางนั้นมีสามีและมีครรภ์ติดมาแต่สามีเดิมเพียงแต่โปรดฯให้อาศัยอยู่ในกรุงสุโขทัย จนนางคลอดบุตรเป็นชายพระเจ้ากรุงสุโขทัยได้ทรงขอบุตรนั้นเลี้ยงไว้ ฝ่ายนางเลือดขาวทูลลากลับเมืองพัทลุง ครั้นนั้นโปรดเกล้าฯให้พระยาพิษณุโลกกับนางทองจันทร์นำนางเลือดขาวไปส่งถึงเมืองพัทลุง โดยขบวนเรือแล่นเข้าทางแม่น้ำปากพนัง นางเลือดขาวได้พำนักอยู่บริเวณบ้านค็องหลายวัน ได้สร้างวัดคลองค็อง เรียกชื่อว่า “วัดแม่อยู่หัวเลือดขาว”(ตำบลแม่อยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช) แล้วเดินทางต่อไปจนถึงเมืองพัทลุง หลังจากนางเลือดขาวกลับจากกรุงสุโขทัยแล้วคนทั่วไปมักเรียกนางว่า “เจ้าแม่อยู่หัวเลือดขาว” หรือบางครั้งเรียกว่า นางพระยาเลือดขาว หรือ พระนางเลือดขาว ด้วยเข้าใจผิดว่านางเป็นพระมเหสีของพระเจ้าแผ่นดิน
ครั้นเวลาล่วงเลยมาหลายปีนางเลือดขาวกับเจ้าพระยากุมารได้เดินทางท่องเทียวไปยังเมืองสทิงพาราณสีโดยทางเรือ ขึ้นฝั่งที่บ้านท่าทอง (ท่าคุระ) ได้สร้างวัดท่าคุระหรือวัดเจ้าแม่อยู่หัวหรือวัดวัดท่าทองขึ้นวัดหนึ่ง และยังได้สร้างพระพุทธรูปไว้ที่วัด 1 องค์ด้วย เรียกว่า รูปเจ้าแม่อยู่หัว แล้วจึงเดินทางต่อไปสร้างวัดนามีชัย (วัดสนามชัย) วัดเจ้าแม่ (วัดชะแม) วัดเจดีย์งาม วัดเถรการาม วัดเหล่านี้ปัจจุบันอยู่ในอำเภอสทิงพระและอำเภอระโหนด จังหวัดสงขลา หลังจากนั้นจึงเดินทางกลับเมืองพัทลุง
เจ้าพระยากุมารกับนางเลือดขาวได้ปกครองเมืองพัทลุงเรื่อยมาลงแก่ชรา ประชาชนจึงร่วมกันจัดงานทำบุญรดน้ำแก่นางเลือดขาวโดยจัดขบวนแห่จากเมืองพัทลุงผ่านแหลมจองถนนไปตามเส้นทางเลียบฝั่งทะเลสาบจนถึงบ้านพระเกิด ถนนสายนี้ชาวบ้านเรียกว่า ทางพระ หรือ ถนนพระ หรือ ถนนนางเลือดขาว เส้นทางนี้สิ้นสุดที่บ้านหัวถนน ตำบลฝาละมี อำเภอปากพะยูน ประชาชนได้ร่วมกันรดน้ำแก่นางเลือดขาว สถานที่นั้นจึงเรียกว่า ทุ่งเบญจา
เมื่อเจ้าพระยากุมารกับนางเลือดขาวแก่ชราภาพมากแล้วทางฝ่ายกรุงสุโขทัยได้ส่งบุตรของนางออกเป็นคหบดีปกครองอยู่ที่บ้านพระเกิด ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า เจ้าฟ้าคอลาย ด้วยความเข้าใจว่าเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน และตามร่ายกายได้สักลวดลายเลขยันต์ตามคตินิยมของชาวเมืองเหนือจึงเรียกว่า เจ้าฟ้าคอลาย
เจ้าพระยากุมารกับนางเลือดขาวมีอายุได้ประมาณ 70 ปีเศษก็ถึงแก่กรรม ฝ่ายเจ้าฟ้าคอลายผู้เป็นบุตรได้จัดการทำพิธีศพบิดามารดา โดยจัดขบวนแห่ศพจากเมืองพัทลุงไปตามถนนนางเลือดขาว นำศพมาพัก ณ สถานที่แห่งนี้ ต่อมาเรียกสถานที่แห่งนั้นว่า ที่ศพนางเลือดขาว (อยู่ทางทิศตะวันตกของบ้านบางม่วง ตำบลฝาละมี อำเภอปากพะยูน) ในขณะที่พักศพอยู่ในนั้นก็ได้นำไม้คานหามปักลงในบริเวณใกล้ๆ ต่อมาคามหามงอกงามขึ้นเป็นก่อไม้ไผ่ปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้ ประชาชนที่พากันมาในขบวนแห่ได้นำฆ้องใบหนึ่งไปแขวนไว้ที่กิ่งมะม่วง เพื่อตีบอกเวลาให้ประชาชนมารวมกันแล้วแห่ศพต่อไป สถานที่นั้นเรียกว่า มะม่วงแขวนฆ้อง (ปัจจุบันอยู่ทางทิศใต้ของบ้านบางม่วงตำบลฝาละมี) จนถึงบ้านพระเกิดได้ทำการฌาปนกิจศพภายในวัดพระเกิด
ฝ่ายเจ้าฟ้าคอลายเมื่อจัดการบิดามารดาเสด็จแล้วก็ได้นำอัฐไปไว้ที่บ้านบางแก้ว พระเจ้ากรุงสุโขทัยก็ทรงโปรดเกล้าฯให้เจ้าฟ้าคอลายเป็นเจ้าเมืองพัทลุง ตั้งเมืองที่โคกเมืองบางแก้ว ต่อมาเจ้าฟ้าคอลายได้สร้างพระพุทธรูป 2 องค์ไว้ที่ริมทะเลสาบทางทิศตะวันตกของเมืองให้ชื่อว่า พระพุทธรูปสองพี่น้อง เพื่ออุทิศเป็นกุศลและเป็นอนุสรณ์แก่บิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว และยังได้นำพวกแขกชีหรือพวกคุลให้มาสร้างพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ขึ้น 1 องค์ เรียกว่า พระคุลา เจ้าฟ้าคอลายได้ปกครองเมืองพัทลุงมาจนถึงแก่อนิจกรรม
เอามาต่อให้แล้วครับ สำหรับต้นกำเนิดของตำนานนางเลือดขาด ฉบับพัทลุง
โดยมากแล้วตำนานพื้นบ้านหรือเรื่องเล่าหลายๆ เรื่องก็มักจะมีความเกี่ยวข้องกับศาสนาให้เห็นอยู่ได้เสมอ ตำนานนางเลือดขาดเองก็ถือได้ว่าเป้นหนึ่งในตำนานเหล่านั้น และการเดินทางเชิดชุเเละอุปธรรมพระพุทธศาสนา โดยการสร้างปูชนียสถานขึ้นตามที่ต่างๆ ออกมามากมาย ก็ได้ทำตำนานนางเลือดเเยกย่อมและกระจายกันไปตามสถานที่ต่างๆ รวมทั้งผสมผสานความเป็นอัตลัดษณ์ของตนเองเอาไว้อีกด้วย
ขอโทษด้วยจริงๆ ครับที่ทิ้งไว้วะนานไม่ได้มาต่อเลย ช่วงนี้ผมไม่ค่อยวางเท่าไร แต่ยังไงก้สัญญาว่าจะเอามาลงให้ครบเเน่นอนครับ