(๒)
ในช่วงที่ผมทำงานเป็น NGOs อยู่นั้น ผมมีโอกาสได้เรียนรู้การจัดกระบวนการเรียนรู้จาก NGOs รุ่นพี่หลายท่าน และก็เริ่มเรียนรู้ว่าการทำงานเพื่อสร้างการเรียนรู้ร่วมกันในลักษณะเวทีเรียนรู้ รวมทั้งถึงการระดมความคิดเห็นที่เน้นการมีส่วนร่วมของสมาชิกให้มากที่สุด มีบรรดาเทคนิค/เครื่องมือที่เป็นตัวช่วยจำนวนมาก
เทคนิคแรก ๆ ที่ผมได้เรียนรู้คือ AIC ซึ่งในช่วงราวยี่สิบปีที่ผ่านมา เทคนิคนี้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ถ้าจำไม่ผิดผู้ที่มีบทบาทในการเผยแพร่เทคนิคนี้คือ อ.ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
ผมเองก็สวามิภักดิ์กับเครื่องมือนี้มิใช่น้อย ใช้แทบทุกครั้งในการจัดกระบวนการเรียนรู้ ไม้ว่าจะเป็นกลุ่มเด็ก เยาวชน หรือกลุ่มผู้ใหญ่และผู้นำชุมชน (อยากจะสารภาพตรงนี้ว่า ผมสนุกกับการใช้เครื่องมือนี้มาก มากกว่าเป้าหมายที่จะได้จากการใช้เครื่องมือเสียด้วยซ้ำไป...)
จนกระทั่งเริ่มมีเทคนิคใหม่ ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ ผมเองก็ไม่พลาดโอกาสการเรียนรู้นั้น บางคราวต้องเก็บหอมรอมริบเพื่อเข้ารับการอบรม และทำให้มีโอกาสได้พบกับปรมาจารณ์ด้านเทคนิควิธีนี้หลายท่าน
ถ้าจะให้ไล่เครื่องมือที่ผมเคยผ่านการอบรม และทดลองใช้ น่าจะมีดังนี้
เริ่มจาก AIC แล้วก็ไปเรียนรู้ ZOPP Model จากรุ่นพี่นักพัฒนาคนหนึ่ง ซึ่งทำงานกับโครงการความร่วมมือไทย-เยอรมัน เทคนิคนี้ประเทศเยอรมันเป็นผู้คิดค้นขึ้นมา ในเทคนิคนี้มีเทคนิคย่อย ๆ อยู่หลายอย่าง จำได้เลา ๆ ว่า อ.ปิยะวัติ บุญหลง ก็เคยใช้เทคนิคนี้ใน สกว. ยุคแรก ๆ ด้วย
นอกจาก ZOPP แล้ว ผมยังได้เรียนรู้เทคนิค SWOT จากรุ่นพี่คนนี้อีกด้วย
ตามด้วย RRA ผมจำชื่อเต็มไม่ได้แล้ว แต่เรียกเป็นภาษาไทยว่าการประเมินสภาวะแบบเร่งด่วน หรืออะไรทำนองนี้ เทคนิคนี้เรียนกับลูกศิษย์ของ อ.บัณฑร อ่อนดำ ซึ่งหากจำไม่ผิดท่านน่าจะเป็นผู้นำมาเผยแพร่
ต่อมาคือ PRA ผมเรียนเทคนิคนี้ตอนเรียนปริญญาโทที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเทคนิคนี้ได้รับความสนใจจากนักพัฒนาในยุคนั้นค่อนข้างมาก ว่ากันว่าพัฒนามาจาก RRA เพื่อแก้ไขข้อจำกัดเดี่ยวกับการมีส่วนร่วม ผมได้ใช้เทคนิคนี้ในการเก็บข้อมูลในงานวิจัยของผมด้วย
ในระยะเวลาใกล้เคียงกันนั้น ผมยังมีโอกาสได้เข้าอบรมการใช้เทคนิคต่าง ๆ อยู่อีกหลายครั้ง เช่น การอบรม meta plan จาก ดร.อุทัย ดุลยเกษม เทคนิค problem tree จาก พี่สวิง ตันอุด นักพัฒนารุ่นเก๋า การประเมินผลแบบมีส่วนร่วม จากสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฯลฯ
ช่วงที่ผมได้ใช้เทคนิคเหล่านี้มาก ๆ เป็นช่วงที่เข้าไปร่วมกระบวนการกับการขับเคลื่อนของกองทุนชุมชน (SIF) ช่วงนี้ผมได้เรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ อีกบางประการ เช่น FSC จาก อ.ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์
ในช่วงท้าย ๆ ของการเห่อเทคนิคของผมนั้นคือการเข้าไปมีส่วนร่วมในงานของ สกว.ภาคเหนือ ตอนนั้นแนวคิดเรื่อง PAR (Participatory Action Research – การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม)
ผมคงจะเป็นแบบที่ครูผมว่าไว้อยู่นาน คือ Action ไปเรื่อย ๆ แม้จะมี Reflection บ้าง ก็ก็กลับมา Action เหมือนเดิมตามความเคยชิน
ผมเริ่มกลับมาทบทวนการทำงานอย่างจริงจังต่อการทำงานของผม โดยเฉพาะในแง่การจัดการกระบวนการเรียนรู้ ผมพบว่าการกระทำของตนเองลดทอนการเรียนรู้ทั้งของตัวเองและผู้คนที่เข้าร่วมเกี่ยวข้องให้เหลือเพียงระดับ “เทคนิค” เท่านั้น ก้าวไปไม่ถึงอะไรที่สูงและมีคุณค่ากว่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ความเป็นมนุษย์" ที่มีหัวจิต มีหัวใจ มีวิญญาณ
เริ่มคิดได้เช่นนั้น ผมก็เริ่มเบื่อการเรียนรู้จำพวกเวทีที่ใช้บรรดาเทคนิคต่าง ๆ อย่างเข้าใส้ แล้วก็พาตัวเองออกมาจากวงการ
.....
ขอบคุณมากครับพี่เกียรติศักดิ์ ...
มีบางคนที่บอกว่าเราไร้กรอบ เเล้วถามต่อว่า เราจะตอบคำถามนั้นต่อนักวิชาการท่านอื่นเเละสังคม อย่างไรเมื่อเราไม่มีกรอบ ไม่มีเครื่องมืออะไรชัดเจนเลย?... หลายคนถามผมด้วยความอคติอยู่ในคำถามเหล่านั้น จนผมสังเกตได้
บางครั้งก็ไม่อยากอธิบายครับ การทำงานกับคนนั้นซับซ้อนพอๆกับที่เรา Mixed เครื่องมือทั้งหลายเหล่านั้นลงไป เวลาอธิบายก็ต้องพูดเเนวทางกลางๆไป หากจะเค้นเอาละเอียดก็ยาก เพราะคนเเต่ละคนเราก็ใช้วิธีการเข้าถึงข้อมูลต่างกัน เเละประณีตจนยากที่เราจะอรรถาธิบายได้ให้เข้าใจ
นักวิชาการที่เป็นสาวกของกรอบ สาวกของวิธีวิทยา พะวงเรื่องของเครื่องมือมากเกินไปกว่า ความเป็นมนุษย์ ดังนั้นเเล้ว "บทเรียน"ที่ได้จากการเค้น รีด นั้น จะมีคุณค่าจริงหรือไม่ เมื่อวิธีการที่ใช้ไม่ได้สอดคล้องกับวิถีการเต้นของหัวใจของทั้งเรา เเละผู้ร่วมสนทนา
ขอบคุณมากครับพี่เกียรติศักดิ์ ...
มีบางคนที่บอกว่าเราไร้กรอบ เเล้วถามต่อว่า เราจะตอบคำถามนั้นต่อนักวิชาการท่านอื่นเเละสังคม อย่างไรเมื่อเราไม่มีกรอบ ไม่มีเครื่องมืออะไรชัดเจนเลย?... หลายคนถามผมด้วยความอคติอยู่ในคำถามเหล่านั้น จนผมสังเกตได้
บางครั้งก็ไม่อยากอธิบายครับ การทำงานกับคนนั้นซับซ้อนพอๆกับที่เรา Mixed เครื่องมือทั้งหลายเหล่านั้นลงไป เวลาอธิบายก็ต้องพูดเเนวทางกลางๆไป หากจะเค้นเอาละเอียดก็ยาก เพราะคนเเต่ละคนเราก็ใช้วิธีการเข้าถึงข้อมูลต่างกัน เเละประณีตจนยากที่เราจะอรรถาธิบายได้ให้เข้าใจ
นักวิชาการที่เป็นสาวกของกรอบ สาวกของวิธีวิทยา พะวงเรื่องของเครื่องมือมากเกินไปกว่า ความเป็นมนุษย์ ดังนั้นเเล้ว "บทเรียน"ที่ได้จากการเค้น รีด นั้น จะมีคุณค่าจริงหรือไม่ เมื่อวิธีการที่ใช้ไม่ได้สอดคล้องกับวิถีการเต้นของหัวใจของทั้งเรา เเละผู้ร่วมสนทนา
ผมยังศรัทธาในวิธีการถอดความรู้ของคุณหนานเกียรติ ได้ร่วมงานกันครั้งสองครั้งก็พบว่าวิธีการเก็นองค์ความรู้นั้นเกิดจากการทำจริง
แล้วกลั่นกรองเป็นองค์ความรู้ บางที่การถอดแบบความรู้น่าจะใช้วงจรคุณภาพของเดมิงก็คงไม่แปลก ช่วงไปอบรมผู้บริหารตามโครงการไทยเข้มแข็ง ๙ วัน เขาพาถอดความรู้โดยใช้จิตปัญญาศึกษา การฟังอย่างสุนทรีย์ จะได้รับองค์ความรู้ที่เกิดตามธรรมชาติของสภาวะจริงครับ กระบวนการ AIC รู้สึกจะใช้ช่วงปี ๔๑ ถ้าจำไม่ผิดครับ สบายดี ร่ำรวยน้ำใจเช่นเคยนะครับ
เจริญพร พี่หนาน
แวะมาแอ่วหา ดีใจที่ได้อ่านการแบ่งปันที่งดงาม
ขอเจริญพร
ปี้ๆๆ ไปอ่าน SHA ภูพิงค์ โตย เจ้า...
สวัสดีค่ะ
มาทักทายให้กำลังใจคนทำงาน ยามเช้าของวันอังคารค่ะ
เด็กรุ่นใหม่ที่เก่ง คล่อง มาเห็นการทำงานของระบบราชการเมืองไทย เขาอยู่ไม่ได้ค่ะ
ผละออกไปเหมือนคุณหนานเกียรตินี่เอง
ระบบมันเป็นอย่างนี้ พัฒนาแล้ว พัฒนาอีก ก็ไม่รู้จะไปถึงไหน
ทำตัวของเราให้ดีที่สุดก็แล้วกันนะคะ
ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ
เรียนท่านหนานเกียรติที่นับถือ
ช่วงนี้รอถ่ายเอกสารค่ะ เลยแวะมาทักทายและเรียนรู้การถอดบทเรียนด้วยคนค่ะ ขอให้มีความสุขกับการทำงานนะคะ