กำไรชีวิต


ธรรมชาติ ต้นไม้ สิ่งแวดล้อม

            สมัยก่อนชาวนานั่งรอฝนเดือนหก  แต่ปีนี้เดือนหกฟ้าพิโรธลงโทษชาวนาให้อากาศวิปริตแล้งจัดดินแตกระแหง แล้งจนกล้วยน้ำว้าข้างบ้านยืนต้นตาย  ที่ออกปลี ออกลูกมาบ้างแล้วต้องหักล้มไปหลายต้นเพราะขาดน้ำช่วยบำรุง

            ปีนี้เดือนเก้าถึงจะเริ่มมีฝน  ชาวนาเมื่อได้ฝนก็เริ่มไถหว่านไปตามฤดูกาลของการทำนา  แต่ภาพที่ผมเห็นในวันนี้เปลี่ยนไปจากภาพที่เคยทรงจำในอดีต เดิมเจ้าของที่นาจูงวัวพร้อมแบกคันไถมา  ลงมือไถนากันแต่เช้าตรู่  ส่งเสียงสัญญาณให้วัวเดินดังก้องทั่วท้องนา มาวันนี้เจ้าของที่นาทำได้เพียงยืนมองและฟังเสียงรถไถนาทำงานเท่านั้นเอง  ส่วนจะเป็นเวลา เช้า สาย บ่าย เย็น หรือกลางคืน นั้นเจ้าของรถไถนาเป็นผู้กำหนด วิถีชีวิตของผู้คนที่ต้องตื่นนอนแต่เช้าตรู่ก็ได้เปลี่ยนไป 

            รถไถนาทำหน้าที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย งานจะเรียบร้อยหรือไม่ขึ้นอยู่กับฝีมือคนขับรถไถ  เจ้าของที่นามีหน้าที่จ่ายตามราคาที่ตกลงกันไว้เท่านั้น

          นี่คือต้นทุนในการทำนา หลังจากนี้ไปยังจะต้องจ่ายค่าข้าวปลูก(พันธุ์ข้าว)ที่จะไปหว่านในนา หว่านข้าวแล้วก็ยังจะต้องหว่านปุ๋ยเคมีสูตรต่างๆอีกครั้งสองครั้ง และสุดท้ายยังมีค่าเก็บเกี่ยวข้าวจากท้องนาแปรสภาพเป็นข้าวเปลือกบรรจุกระสอบเรียบร้อย ล้วนต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น

          ปีไหนฝนฟ้าอำนวย ข้าวสวยเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตดี ปีนั้นกำไร แต่หาได้เป็นปีกำไรทุกปีไม่ เพราะเกิดฝนทิ้งช่วง  หรือน้ำท่วมระหว่างที่ข้าวกำลังเจริญเติบโตอาจยืนแห้งตายหรือไม่ก็เน่าเปื่อยจมอยู่ใต้น้ำ  ทุนที่ลงไปค่าไถ หว่าน ค่าปุ๋ย  ก็ถูกดูดกลืนหายไปในพริบตา

            นี่แหละ  ทุนนิยม ยังไม่นับรวมถึงการที่ราคาข้าวตกต่ำตามกลไกตลาด ถูกกดราคาโดยพ่อค้าฉวยโอกาสบางคน  รวมถึงการโกงตาชั่งกันหน้าด้านๆ

            ผมยังกินข้าว  แต่ไม่คิดว่าจะมาปลูกข้าวกินเองเอาตอนอายุขนาดนี้หรอก ผมมาใช้ชีวิตร่วมกับพี่น้องชาวนาที่นี่ก็จริงแต่ผมจะปลูกพืชหลากหลายไว้กินเองเสียมากกว่า คิดว่าคงไม่ขาดทุนหรือหากำไรจากผืนนาแห่งนี้  ถ้าจะเป็นกำไรก็คงเป็นกำไรชีวิตเสียมากกว่าที่ได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตที่นี่

......................................................................................................

 ปู่หลง   29/9/2553

หมายเลขบันทึก: 389247เขียนเมื่อ 29 สิงหาคม 2010 19:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 03:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สวัสดีค่ะปู่หลงคะ...ยายธีเห็นในทีวีเมื่อวานนี้ที่นี่(เยอรมัน)..เรื่องวิถีของรถเก็บเกี่ยวข้าวตั้งแต่สมัยแรกๆจนกระทั่งปัจจุบัน..ตั้งแต่เป็นเครื่องทุ่นแรงเล็กๆ..ใช้ม้าลาก...จนกระทั่งเดี๋ยวนี้..เครื่องยนต์ประเภทนี่สามารถทำงานได้เองด้วยเทคนิคทางคอมพิวเตอร์..ทำงานตลอดวันตลอดคืน..อ้ะะๆๆไม่เรียกร้องขอให้มีน้ำมันเติมไม่ให้เครื่องหยุดแล้วกัน...๕๕๕...(รัฐก็ยังจริงใจกับราคาและหลักประกันทางสังคมในเยอรมัน)..แต่วิถีไทย..ท่านมีวิถีทางแบบ..เห็นช้างขี้..ต้องขี้ตามช้าง..อ้ะๆๆ..ถ้าเราจะเห็นแบบ..ช้างอึ..แต่อึเอาอย่างควาย..คงจะดีกว่า...นะอิอิ...(ยายธีก็ยังชอบกินข้าว..ถึงแม้ว่าตอนนี้ข้าวจะแพงเหลือเกิน..และจะต้องกินให้น้อยลง..อ้ะๆๆ...ยายธีหัดปลูกข้าว...ครั้งแรกปลูกด้วยปาก..ใช้เงินไปหลาย...เห็นข้าวเห็นรวง...แต่เก็บไม่ได้เลยสักเม็ด...๕๕๕๕๖๗๘๙...มาตอนนี้ปลูกเองเลย...เอาข้าวที่ติดมาจากเมืองไทย...เขาว่าข้าวกล้องมันงอกได้..แถมมีวิตามินสูง...เลยลองใส่กระถางตั้งไว้ที่หน้าต่าง..เพราะเป็นที่เดียวที่จะได้แดด..และอบอุ่นเกือบตลอดเวลาโดยเฉพาะหน้าหนาว...ทิ้งไว้ไปเมืองไทย..กลับมา.ตาบอกว่าข้าวเธอ..ออกรวงแล้วนะ..โอ้ยดีใจอย่าบอกใคร...แต่ข้าวมันรีบ...แต่มีอยู่เมล็ดหนึ่ง..ดูค่อนข้างเต่งตึง..ยายธีเอาข้าวเมล็ดนี้..ไปปลูก..และวันหนึ่งมันก็งอกขึ้นมา...เหลือเชื่อจริงๆนะ...นี่แหละ..ธรรมชาติและกำไรชีวิต...ของยายธีที่อยากเล่าให้คุณปู่หลงเจ้าค่ะ...)

ขอบคุณอีกครั้งครับที่มาให้ความรู้สนุกๆ ผมมือใหม่หัดขับยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ

ขอบคุณครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท