สิ่งที่ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้


3 สิ่งในโลกนี้ที่เราไม่สามารถนำกลับมาได้

สวัสดีครับ วันนี้ผมได้เรียนวิชาปรัชญาและศานามา ในชั่วโมงก็มีการให้ดู VTR โฆษณาอัพประเทศไทย ความกตัญญูของในหลวงต่อสมเด็จย่า และทำสมาธิถวายพระพรในหลวงให้หายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว แต่ผมว่าวันนี้นอกจากจะได้ทำกิจกรรมนี้เหนือสิ่งอื่นใด ท่านอาจารย์คงอยากให้ผม และเพื่อนๆมีสมาธิพร้อมที่จะเรียนมากกว่า เพราะการทำสมาธิจะทำให้เรารู้สึกสบายๆ จิตใจว่างก็พร้อมที่จะเรียน และก็เหมือนเช่นเคยอาจารย์ท่านได้เล่าเรื่องมากมายให้ฟัง แต่ที่ผมรู้สึกว่าต้องนำมาขบคิดนั้นน่าจะเป็นในหัวข้อที่ท่านอาจารย์ได้บอกว่า มี 3 สิ่งในโลกนี้นะที่เราไม่สามารถนำกลับมาได้ อย่างแรกคือ

   คำพูด ดังคำที่กล่าวไว้ก่อนพูดเราเป็นนายคำพูด แต่พอหลังพูดคำพูดเป็นนายของเรา ผมคิดแล้วว่านี้ก็เป็นสิ่งที่เตือนใจผมได้ดีเช่นกัน เพราะจะทำให้ผมระวังคำพูด เคยมีคนพูดกับผมว่า หนึ่งนาทีที่เราพูดว่าคนอื่น มันอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตที่เขาจะลืมคำพูดนั้น ผมจึงจะไตร่ตรองให้ดีเสมอว่าเราควรจะคิดก่อนพูด คิดดูดีๆว่าคำพูดของเรามันจะไปทำร้ายความรู้สึกของใครหรือเปล่า แค่เล็กน้อยมันก็กระทบต่อจิตใจของคนคนนั้นได้ ผมก็พยายามเตือนตัวเองให้ระวังมากที่สุด

  อย่างที่สองคือ  เวลา อันนี้แน่นอนทุกคนต้องรู้อยู่แล้วว่าเวลาสำคัญแค่ไหนสำหรับใครบ้างคน ในหนึ่งนาทีอาจเป็นเรื่องเป็นหรือตายของใครบางคน ผมอ่านบล็อกของท่านอาจารย์ของผมเรื่องเวลา ที่ว่าอยากรู้ว่าเวลาหนึ่งปีมีค่าเพียงใดให้ไปถามนักเรียนที่เรียนซ้ำชั้น ผมว่าเด็กคนนั้นคงจะซึ้งกับเรื่อเวลามากเลยทีเดียว ผมเองก็เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องเวลาเหมือนกันบ้านผมไม่ได้อยู่ในเมือง เวลาที่จะไปในเมืองจะต้องนั่งรถโดยสารประจำทางไป แต่ท่าเราไปช้าเราก็จะต้องรอรถเที่ยวต่อไป ดังนั้นเวลาก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับหลายคน เพราะไม่สามารถที่จะย้อนเวลากลับไปทำในสิ่งที่อยากจะแก้ไข ไม่สามารถเดินหน้าเพื่อที่จะไปดเหตุการณืในอนคต แต่เราสามารถเป็นมันได้ด้วยปัจจุบัยอันเป็นนิรันด์ของเราครับ

อย่างสุดท้ายคือโอกาส อันนี้ผมต้องนั่งวิเคราะห์ครู่หนึ่งว่าผมเคยได้หรือเปล่าหน่อโอกาสเนี่ย สรุปคือเคยครับ ได้โอกาสจากคนที่อุปถัมเลี้ยงดู ความรู้ทางการศึกษา และอื่นๆมากมายที่เราได้มาจากผู้อื่นแค่นี้ผมก็เรียกว่าโอกาสได้แล้ว แต่พอมองย้อนไปดูคนอื่นโอกาสสำหรับบางคนมันเป็นเรื่องที่แสนจะยากเย็นที่จะหามาได้ ดังนั้นถ้าใครที่เคยได้โอกาสมาแล้วก็ลองเป็นผู้ให้โอกาสบ้างผมว่าน่าจะดีมากๆๆเลยครับ แต่ตอนนี้ถ้าโอกาสกำลังมาถึงคุณ ก็ต้องพิจารณาให้ดีๆๆนะครับว่าโอกาสนั้นเราควรจคว้าไว้ หรือปล่อยให้เลยผ่านไป และถ้าให้เลยผ่านไปเราก็ห้ามมาคิดเสียดายภายหลังเพราะอย่างที่เรื่องสองงัยครับ เรื่องเวลา แต่บางคนก็ใช้โอกาสสร้างประโยชน์ให้กับหลายๆคน ผมเคยอ่านหนังสือนิยายขายดี เรื่อง เพอร์ซี่แจ๊กสัน กับเทพองค์สุดท้าย มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเทพโอลิมปัส กับเด็กชายมนุษย์ครึ่งเทพ ส่วนใหญ่แล้วเด็กครึ่งเทพมักโดนพ่อ แม่ที่เป็นเทพทอดทิ้ง พอถึงฉากจบในนิยาย ซุสที่เป็นจอมราชันแห่งโอลิมปัสได้เสนอให้เพอร์ซี่เป็นเทพ แต่เขาปฏิเสธแต่กลับใช้โอกาสนั้นขอให้เทพสัญญา และให้หันมาใส่ใจกลับลูกๆกึ่งเทพตัวน้อยๆๆของพวกเขา เนี่ยครับก็เป็นเรื่องของโอกาสที่เราได้รับมาแล้วเราสามารถนำโอกาสนั้นไปมอบให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นได้ อย่างเนี่ยจะเป็นคนที่สุดยอดมากเลยครับ

 

     เล่ามายาวมากเท่าที่เคยเขียนมาเลยนะครับสำหรับผมในครั้งนี้ เรื่องเกี่ยวกับปรัชญายังไม่หมดขอผมไปเรียบเรียงสักพักนะครับแล้วจะนำมาเล่าให้อ่านกันต่อ วันนี้สวัสดีครับ

หมายเลขบันทึก: 388650เขียนเมื่อ 27 สิงหาคม 2010 22:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 16:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)
  •  มาชม ครับ
  •  พุทธศาสนาจึงได้บอกไงว่า " การจะพูด จะคิด จะทำ ในสิ่งใดนั้น จะต้องตั้งอยู่บนความไม่ประมาท จงตั้งอยู่บนสติอันบริสุทธิ์เสมอ เเล้วสิ่งที่ออกมานั้นจะเป็นผลดีต่อตนเองเเละผู้อื่นอย่างมหาศาล " ครับ
  • เป็นกำลังใจให้นะครับ

ขอบพระคุณอาจารย์มากนะครับ ที่ชื่นชม

ขอบคุณคุณหลวงเวชการมากนะครับที่มาแลกเปลี่ยนความคิดกัน

บ่างสิ่งที่ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้แต่ก็ใช้ว่าจะไปจากเราตลอดไปซะเมือไหร่ถ้าเราคิดว่ามันอยู่มันก็จะอยู่ในใจของเราตลอดไป

ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจเราคิด

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท