วันพฤหัส ฯ ที่ 26 สิงหาคม 2553
ผมขับรถ เพื่อมาทำงานตอนเช้า
สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีที่เริงร่ารับสายฝนมาเกือบอาทิตย์
เช้านี้แสงแดดยิ้มพรายสดใส
แหงนมองไปข้างหน้า ไล่ตามระดับสายตา
จะเห็นภูเขาเขียว ๆ ทมึนสูงตะหง่านท้าท้องฟ้า
สายหมอกอยู่ข้างบนภูเขาราวหมวกขาวใบโต ๆ เป็นรูปกรวย
เพราะถูกสายลมเป่าและจางหายไปกับท้องฟ้าสีฟ้าอ่อน ๆ สวย ๆ
ทำให้หวลคิดถึงคำพูด...
วินทร์ เลียววาริณ กล่าวว่า การที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถเงยหน้าขึ้นเบื้องบน
และชื่นชมความงามของมัน ก็นับว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง
การรู้จักเสพความงดงามก็คือการมีชีวิตอย่างหนึ่ง!
การมีชีวิตไม่ใช่การมีท้องฟ้าสวยๆ ให้มองแต่อยู่ตรงที่การรู้จักเงยหน้าขึ้นเบื้องบนแม้ในคืนที่ฟ้าหม่นมัว!
ใช่แล้ว...การมีชีวิตไม่ใช่การมีท้องฟ้าสวยๆ
วันนี้โชคดีอีกวัน ที่อยู่ ๆ ก็มีคนมาร้องไห้ต่อหน้าผม
ไม่ใช่ผมชอบความรุนแรง
แต่หลัง "ฉากม่านน้ำตา" ทำให้ผมเข้าใจและเรียนรู้ชีวิตของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผม
ซึ่งแต่ก่อนผมเคยเรียกร้องว่า...ทำไมคนถึงเป็นแบบนั้น ? ...ทำไมไม่ทำอย่างนี้ ?...
ทำไมไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง ? ทำไม ? ? ?
คุณยาย "บุญเรือง" ที่อยู่ตรงหน้าของผมมาด้วยอาการปวดเข่าด้านซ้ายประจำ
มารับยาแก้ปวดตลอด 2 สัปดาห์แต่ละครั้ง จนผมคิดว่า คุณยายกินยาแก้ปวดเยอะ ๆ
แล้วกระเพาะอาหารจะแสบร้อนบ้างหรือเปล่านะ
ผมก็เป็นแค่ "หมออนามัย" ไมใช่แพทย์คงช่วยได้แค่นั้น
(สถานีอนามัยส่วนใหญ่ในประเทศไทย ยังไม่มีแพทย์ประจำการ)
คุณยายเล่าให้ฟังว่า...
ไปรักษากับนายแพทย์ที่โรงพยาบาลเป็นประจำเหมือน คุณหมอบอกว่า...
พร้อมวันไหน มาผ่าเลย เพราะเข่ามันเสื่อมแล้ว...กินยาแค่ทุเลา
เล่าไป เล่ามา จู่ ๆ น้ำตาคุณยาย ก็ร่วงหล่น ราวเม็ดฝนหล่นจากแก้มใบไม้
ผมอึ้ง และตกใจ
คุณยายเล่าว่า...
แต่ก็วันต้องไปรับจ้าง ดกกล้า (ถอนกล้า) , ดำนา และตัดอ้อย
ต้องหาเงินให้ได้อย่างต่ำวันละหนึ่งร้อย ค่อยพอกิน
เพราะต้องเลี้ยงหลาน 2 คน อายุ 11 ปี และ 16 ปี ตามลำดับ
พ่อของหลาน ตายแล้ว 8 ปี แม่ของหลาน (ลูกสาว) เพิ่งตายปีที่แล้วด้วยโรคหัวใจ
หลานชายอายุ 16 ปี ประสบอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซด์ชนกับรถอีแต๋น ปีที่แล้ว
เดินไม่ได้ คลานได้เพราะแรงมือช่วยเท่านั้น
ต้องใส่ผ้าอนามัยไว้ตลอด กันอุจจาระเรี่ยราด ตกเดือนละ 600 บาท
ได้เงินผู้พิการ จาก อบต. เดือนละ 500 บาท ก็พอได้ช่วยส่วนนี้
สามารถฉี่ได้ โดยใช้ขวด
คุณยายจะไปไหนต้องเตรียมสำรับอาหาร และน้ำดื่มไว้
คุณตาหรือสามี ลูกยาย ก็ไปมีภรรยาใหม่ ประมาณ 5 ปี
ตอนเช้าคุณตาจะมาหาคุณยาย และหลาน
แต่พอตอนเย็น คุณยายจะไล่คุณตาไปนอน บ้านภรรยาใหม่
ซึ่งอยู่อีกฟากหมู่บ้านไปไม่ไกลกัน
คุณยายเหนื่อยไหม...เหนื่อย
คุณยายท้อไหม...ท้อ
คุณยายจะยอมแพ้ไหม... เคยยอมแพ้...แต่ต้องสู้เพื่อหลาน ๆ
หลานชาย 11 ปี ที่เรียน ป.5 ไม่รู้ว่า...ต่อไปจะได้เรียนต่อไหม
หลานชาย 16 ปี ที่พิการ ไม่รู้ว่า ความพิการจะหายไหม
คุณยายบอกว่า...สู้
สิ่งที่ผ่านมาคือ ชะตาฟ้าลิขิต
ให้อภัย...ยอมรับ...อโหสิกรรม...ไม่จองเวรซึ่งกันและกัน
การมีชีวิตไม่ใช่การมีท้องฟ้าสวยๆ ให้มอง
แต่อยู่ตรงที่การรู้จักเงยหน้าขึ้นเบื้องบนแม้ในคืนที่ฟ้าหม่นมัว! ...........
***************
สวัสดีค่ะ
เปิดฉากเรื่องเล่าได้งดงามมากค่ะ
......
สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีที่เริงร่ารับสายฝนเช้า....แสงแดดยิ้มพรายสดใส .....ภูเขาเขียว ๆ ทมึนสูงตะหง่านท้าท้องฟ้า....สายหมอกอยู่ข้างบนภูเขาราวหมวกขาวใบโต ๆ เป็นรูปกรวย.... สายลมเป่าและจางหายไปกับท้องฟ้าสีฟ้าอ่อน ๆ สวย ๆ
เหมือนบทกวี... เห็นภาพตามคำบรรยาย
การมีชีวิตอยู่บนโลกในนี้ เราต้องมีความหวัง.... หวังว่าพรุ่งนี้ "ชีวิตจะดีขึ้น"
แม้ว่าฟ้าจะมืดหม่นเพียงใด... ในความมืดนั้นยังซ่อนความสวยงามไว้เสมอ
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุก ๆ ท่าน...
ขอบคุณเรื่องราวที่งดงามค่ะ
ขอให้มีความสุขกับสายฝนที่โปรยปราย.... น่าดีใจกับเกษตรกร..ชาวไร่ ชาวนาที่ป่านนี้คงยิ้มอย่างมีความสุข...
ขอบพระคุณ "ครูใจดี" ครับ
ดีใจ ถ้าครูชอบครับ
ครูไม่ได้มาชมอย่างเดียว
ครูยังแวะเอากำลังใจ และภาพสวย ๆ มาฝาก
ขอบพระคุณอีกครั้งครับ
เล่าเรื่อง..ได้ลึกซึ้ง เห็นภาพ ได้ดีจริงๆค่ะ
ขอเป็นกำลังใจให้คนทำงานค่ะ
noomali
ขอบพระคุณ คุณ noomali
แวะเข้ามาชมอีกนะครับ
แล้วผมจะไปเยี่ยมบล็อกของคุณด้วยครับ
winbookclub : 2010-08-26 20:25:19
บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้ายากจริงๆ ครับ
น่าเห็นใจจริงๆ
หวังว่าคงมีคนช่วยเหลือแกไปตามสมควรนะครับ
แวะเยี่ยมด้วยความคิดถึง