ในหนังสือชื่อ think before it's too late ของนักคิดชื่อดังระดับโลก EDWARD DE BONO ได้เขียนเกี่ยวกับวิชาคณิตศาสตร์ อ่านแล้วรู้สึกช็อคและทำอะไรไม่ถูก
" โรงเรียนในสหภาพยุโรปต่างใช้เวลาเรียนร้อยละ 25 ในการสอนคณิตศาสตร์ แต่ปรากฏว่าคนส่วนใหญ่ใช้วิชาคณิตศาสตร์ที่เรียนมาแค่สัก 3%เท่านั้น เท่าที่จำได้ ผมไม่เคยใช้วิชาเรขาคณิต พีชคณิต ตรีโกณมิติ คำนวณ หรือแคลคูลัสซึ่งตัวเองเคยเรียนมาเลย
แล้วทำไมถึงต้องเสียเวลาเรียนในสัดส่วนที่ค่อนข้างมากเพื่อเรียนรู้คณิตศาสตร์ขั้นสูงๆอีกตั้ง97%ด้วยเล่า
ก็เพราะโตขึ้นเด็กอาจอยากเลือกอาชีพที่ต้องมีพื้นความรู้คณิตศาสตร์ขั้นสูงๆ ถ้าใครอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์สาขาการสร้างจรวดจริงๆเขาย่อมได้เรียนพื้นฐานด้านคณิศาสตร์ที่จำเป็นๆในหลักสูตรหนึ่งอยู่แล้ว อาชีพอื่นๆอีกหลายๆอาชีพก็เป็นแบบนี้ ไม่เห็นจำเป็นต้องให้ทุกคนต้องลำบากเรียนคณิตศาสตร์มากขนาดนั้นไปด้วยเลย
เพราะว่าคณิตศาสตร์ช่วยฝึกสมอง ผมไม่พบหลักฐานใดเลยที่แสดงว่า ใครเรียนคณิตศาสตร์มากกว่าหรือเก่งกว่าแล้วจะสมองดีกว่า ต่อให้มันส่งผลบ้างจริงๆ แต่ถ้าให้เรียนเพราะว่ามีเจตนาจะฝึกสมองล่ะก็ ผมว่ายังมีวิธีอื่นอีกหลายวิธีที่จะใช้ฝึกสมองและฝึกการคิดซึ่งได้ผลกว่านี้เยอะ วิธีการคิดในแบบของผมมีหลายด้านที่พบว่าให้ผลดีมาก ช่วยให้เด็กเรียนทุกวิชาได้ดีขึ้นตั้งแต่ 30ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ แล้วการเรียนคณิตศาสตร์ล่ะใครกล้ายืนยันบ้างว่ามันจะได้ผลดีขนาดนี้
เพราะว่าคณิตศาสตร์บางอย่างก็มีความจำเป็น ยิ่งเรียนมากน่าจะยิ่งดี ความเชื่อแบบนี้ปักหลักอย่างแน่นหนา แถมยังได้รับการแก้ต่างให้มาโดยตลอด
เพราะจำเป็นต้องหาเวลาให้เด็กได้รับการศึกษา ต้องหาอะไรให้เด็กได้ทำตลอดเวลา คณิตศาสตร์ก็เหมือนกับหลายวิชาซึ่งเอาไว้ใช้สอนเพื่อให้เด็กไม่มีเวลาว่างเท่านั้นเอง
ผมไม่ต่อต้านการสอนคณิตศาสตร์หรอกแต่ถ้าวงการศึกษาอ้างว่าไม่มีเวลาสอนวิชาอื่นอย่างเรื่องการคิด ผมว่าก็น่าจะลดเวลาสอนคณิตศาสตร์ลงบ้างก็ได้
อีกด้านหนึ่งคือ เด็กที่ไม่เก่งคณิตศาสตร์อาจเรียนจบมาด้วยความฝังใจว่าตัวเองโง่เง่า เด็กพวกนี้จะไม่ค่อยภูมิใจในตัวเองนัก ซึ่งส่งผลต่อชีวิตในวันข้างหน้า ตลอดจนมีผลในเรื่องการมีส่วนช่วยเหลือสังคม"
ทีอ่านแล้วช็อคทำอะไรไม่ถูก เพราะเราได้เห็นอีกมุมมองหนึ่งที่ตรงข้ามกับวิชาชีพที่เราใช้เลี้ยงตัวอยู่ มันช่างกระทบกับความรู้สึกและความคิดของเรามากเหลือเกิน
ไม่มีความเห็น