โดย ดร.ตวงอัฐ ชัยกิจโกสีย์.....วันนี้มีเรื่องเล่ามาเล่าสู่กันฟังครับ....... เรื่องมีอยู่ว่าผมได้รับการติดต่อจากบริษัทฯซอฟท์เเวร์เเห่งหนึ่งซึ่งทำโปรเจคใหญ่มูลค่านับสิบล้านให้กับธนาคารลำดับต้นๆของประเทศเเห่งหนึ่ง โดยผมถูกนำมาช่วยในส่วนของที่ปรึกษาโครงการฯ หลังจากที่เข้าไปคลุกคลีอยู่ในโครงการซักพักก็พบว่าปัญหาที่ทำให้โครงการนี้ไม่สามารถส่งมอบงานตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดได้เนื่องมาจากปัจจัยหลายอย่าง ดังต่อไปนี้
1. มีหลายๆหน่วยงานที่ต้องทำงานร่วมกัน เเต่ขาดการสื่อสารที่ดี
2. พูดกันคนละภาษา ในที่นี้หมายถึงทั้งต่างชาติคุยกับคนไทย
เเละรวมถึงคนไทยคุยกับคนไทยด้วยกันเอง
ซึ่งถ้าเป็นต่างชาติคุยกะคนไทยเเล้วสื่อสารตีความคนละอย่างคงไม่น่าเเปลกใจซักเท่าไร
เเต่คนไทยกับคนไทยที่พูดกันไม่รู้เรื่องเข้าใจคนละเเบบเพราะอะไร??
คำตอบก็คือ....
ประเภทเเรก: ไม่เข้าใจเเล้วทำเป็นเข้าใจ (กลัวถูกคนอื่นมองว่าโง่) ประเภทนี้มีเยอะมากในองค์กร ดังนั้นเวลาทำงานก็เข้าใจไม่ตรงกัน งานผิดพลาด ส่งผลให้ส่งงานที่ไม่มีคุณภาพเลียเวลาในการเเก้ไข กระทบกับการทำงานกับทีมอื่นๆ
ประเภทที่ 2: ตั้งใจเเละพยายามเข้าใจเเต่ผู้ส่งสารสื่อสารยังไงก็ไม่เข้าใจ (ขาดทักษะในการเล่าเรื่อง) ประเภทนี้ยังพอมีวิธีการเเก้ไขได้ โดยให้หมั่นฝึกฝนในการเล่าเรื่องให้ผู้อื่นฟัง ฝึกพูดในที่สาธารณะ รวมถึงทักษะการทำเสนออื่นๆ (Presentation Skill)
ประเภทที่ 3: ต่างคนต่างทำงานไม่สนใจกัน เเต่มาบ่นนอกรอบว่าทีมนั้นทำงานไม่ดี ทั้งๆที่มีการจัดวาระประชุมให้พูดคุยถึงปัญหา เเต่ไม่มีการพูดกันเเบบเปิดเผยในที่ประชุม
คำถามต่อมาเเล้วผมมาช่วยอะไรในการทำ ให้กระบวนการทำงานที่เกิดปัญหาเหล่านี้ไหลลื่นขึ้น จากการวิเคราะห์ปัญหาดังกล่าวข้างต้น ผมได้ความคิดว่าน่าจะนำทฤษฎี KM มาเเก้ไขปัญหาด้านการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น The Fifth Discipline ของ Peter Senge ที่ว่าด้วยวินัยทั้งห้าเเห่งการเรียนรู้ เช่น Mental Model คือการปรับเปลี่ยนทัศนคติในการทำงาน เพื่อนร่วมงาน, Team Learning ที่พูดเรื่องการทำงานเเละเรียนรู้ในการเเก้ปัญหาร่วมกันเป็นทีม, System Thinking การจัดลำดับความคิดในการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ อีกทั้งยังนำทฤษฏีด้านวิศวกรรมความรู้ (Knowledge Engineering) มาช่วยจัดการโครงสร้างความรู้ที่เกิดจากผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ในเเต่ละ Party ให้มีความชัดเจนมากขึ้น
อ่ะๆ อย่างเพิ่ง งง นะครับว่าผมมาทำอะไร พูดง่ายๆก็คือผมทำหน้าที่เป็นวิศวกรความรู้ (Knowledge Engineer) ทำหน้าที่เชื่องโยงบุคคลทั้ง 3 ประเภทที่ผมกล่าวมาข้างต้นให้ทำงานร่วมกันได้โดยพูดภาษาเดียวกัน มีความเข้าใจที่ตรงกันนั่นเอง เเละผลลัพท์ที่ได้นี้เองทำให้การทำงานที่เคยล่าช้ามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น อีกทั้งการทำงานร่วมกันหลายๆฝ่ายก็มีความเป็นกันเอง เเละสนิทสนมมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ไม่มีความเห็น