ในวันนี้เรามารู้จักทฤษฎีในด้านต่าง ๆ ดังนี้นะครับ คือ
1. ความหมายของทฤษฎี
2. องค์ประกอบของทฤษฎี
3. การสร้างทฤษฎี
ความหมายของทฤษฎี
ทฤษฎี คือ สมมติฐานที่ผ่านการตรวจสอบ กระทั่งสามารถนำมาอธิบายข้อเท็จจริง นิยาม ทฤษฎีบท และสัจพจน์ สามารถนำไปคาดคะเนเหตุการณ์และปรากฏการณ์ทั่ว ๆ ไปได้อย่างถูกต้อง และเป็นที่ยอมรับของบุคคลทั่ว ๆ ไป
องค์ประกอบของทฤษฎี
ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีใด ๆ ก็ตาม (ผู้เขียนขอใช้คำนี้) จะมีองค์ประกอบเรียงลำดับจากสูงไปต่ำหรือจากต่ำไปสูงก็ได้ ดังภาพ
จากภาพ ถ้าอธิบายจากล่างขึ้นบนจะเห็นว่า จุดเริ่มต้นของทฤษฎีก็คือ ข้อเท็จจริงของปรากฏการณ์ที่ผ่านการสัมผัสรับรู้หรือสังเกตเห็นซึ่งรวบรวมได้ หลังจากนั้นข้อเท็จจริงเหล่านี้จะถูกสร้างหรือกำหนดเป็นมโนทัศน์หรือนิยามขึ้นแทน ซึ่งมโนทัศน์ที่กำหนดขึ้นนี้จะมีลักษณะเป็นนามธรรมกว่าข้อเท็จจริงและมีความหมายเป็นตัวแทนที่ครอบคลุมข้อเท็จจริงทั้งหมดนั้น มโนทัศน์หลาย ๆ มโนทัศน์จะได้รับการนำมาเชื่อมโยงกันโดยอาศัยตรรกะ (Logic) ที่สมเหตุสมผลเป็นข้อเสนอหรือทฤษฎีบท และท้ายที่สุดข้อเสนอหรือทฤษีบทนั้นจะได้รับการสรุปเข้าด้วยกันเรียกว่า สัจพจน์ ถ้าอธิบายจากบนลงล่าง ก็หมายความว่า ในทฤษฎีหนึ่ง ๆ จะมีสัจพจน์ซึ่งมีลักษณะเป็นข้อความที่เป็นจริง หลังจากนั้นก็จะสามารถทำการนิรนัยจากสัจพจน์ออกมาเป็นข้อเสนอหรือทฤษฎีบทเป็นจำนวนมาก และในแต่ละข้อเสนอหรือทฤษฎีบทก็จะประกอบด้วยมโนทัศน์เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้มทัศน์แต่ละมโนทัศน์จะแทนข้อเท็จจริงหรือปรากฏการณ์บางอย่างที่สามารถสังเกตได้โดยตรง
การสร้างทฤษฎี
การสร้างทฤษฎีมีวิธีการและขั้นตอนที่แตกต่างกันตามประเภทของทฤษฎีดังนี้ คือ ทฤษฎีเชิงวิตรรก (Rational theory) และทฤษฎีเชิงประจักษ์ (Empirical theory) ซึ่งจะอธิบายดังต่อไปนี้
1. ทฤษฎีเชิงวิตรรก (Rational theory) คือ ทฤษฎีที่สร้างขึ้นโดยกำหนดข้อความที่เป็นสัจพจน์ขึ้นมาก่อน ซึ่งถือเป็นข้อความที่เป็นจริงโดยไม่ต้องพิสูจน์ในเชิงประจักษ์ หลังจากนั้นก็ทำการนิรนัยข้อความออกมาจากสัจพจน์ดังกล่าวหลาย ๆ ข้อความ (ก็คือข้อเสนอนั่นเอง) แล้วสร้างข้อสรุปก็จะทำให้ได้เป็นความรู้ความจริง ทั้งนี้จะได้รับการยอมรับมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความสมเหตุสมผลในการสร้างข้อสรุปว่าสอดคล้องเป็นไปตามข้อเสนอและสัจพจน์มากน้อยเพียงไร ดังนั้น ทฤษฎีเชิงวิตรรกจะทำการพิสูจน์ความถูกต้องของสัจพจน์โดยอาศัยเหตุผลเป็นหลัก ตัวอย่างของทฤษฎีเชิงวิตรรก ได้แก่ ทฤษฎีทางคณิตศาสตร์และเรขาคณิต
2. ทฤษฎีเชิงประจักษ์ (Empirical
theory) คือ
ทฤษฎีที่สร้างขึ้นโดยอาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นพื้นฐานในการสร้าง
ขั้นตอนการสร้างทฤษฎีเชิงประจักษ์จะเป็นดังนี้
ขั้นที่ 1
กำหนดเรื่องที่จะสร้างทฤษฎี กล่าวคือ
การระบุหรือกำหนดเรื่องที่จะสร้างทฤษฎีเพื่อทำการอธิบายและทำนายว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
ขั้นที่ 2
กำหนดขอบเขตหรือปรากฏการณ์ของเรื่องที่จะสร้างทฤษฎีว่าครอบคลุมในแง่มุมใดบ้าง
ขั้นที่ 3 กำหนด จำแนก
ให้คำนิยาม มโนทัศน์และตัวแปรต่าง ๆ
ที่ใช้แทนปรากฏการณ์หรือประเด็นที่ได้จากการสังเกต
ขั้นที่ 4
จัดระบบและลำดับความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์และตัวแปรต่าง ๆ
เข้าด้วยกัน
ขั้นที่ 5
ใช้เหตุผลเชิงตรรกะสรุปข้อเสนอแนะต่าง ๆ
เข้าด้วยกันเป็นสัจพจน์ตามเรื่องที่กำหนด
จะเห็นว่าขั้นตอนการสร้างทฤษฎีเชิงประจักษ์จะเป็นไปตามลำดับโดยการเริ่มต้นจากการสังเกตุปรากฏการณ์ที่เป็นรูปธรรมไปสู่การสร้างมโนทัศน์
ข้อเสนอ และสัจพจน์ที่มีความเป็นนามธรรมขึ้นเรื่อย ๆ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ไม่ยากอย่างที่คิดใช่มั้ยครับ ในเรื่องของทฤษฎี ในเรื่องต่อไปจะติดตามกันในเรื่อง สมมติฐาน (Hypothesis) ครับ เชื่อว่าไม่น่าจะยากอย่างที่ผู้อ่านเข้าใจกัน
เอกสารอ้างอิง
รัตนะ บัวสนธ์. (2551) ปรัชญาวิจัย
(Philosophy of Research). กรุงเทพฯ.
สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ในห้องเรียนระเบียบวิธีวิจัยขั้นสูง โดย รศ.ดร.อรุณี
อ่อนสวัสดิ์
ความคิดเห็นของเพื่อนในห้องเรียนที่ช่วยกันอภิปราย
ขอบคุณครับ...เพิ่งจะเข้าใจแจ่มแจ้ง วันนี้นี่เอง
ขอบคุณที่แสวงหาความรู้ดีๆมาฝาก
ขอเป็นกำลังใจให้สู้ต่อไปนะ..
ถ้ามีอะไรสงสัย สอบถามใน blog ได้เลยนะครับ ยินดีค้นคว้ามาตอบครับ
ใส่ตัวอย่างให้เพื่อน อ๋อ........ด้วยจะได้กุศลนะ