หยาดหนึ่งจากพรสวรรค์....สิ่งมหัศจรรย์ช่วยจรรโลงชีวิต


หยาดหนึ่งจากพรสวรรค์....สิ่งมหัศจรรย์ช่วยจรรโลงชีวิต ลองอ่านผลงานย้อนอดีตเมื่อสมัยเรียนมัธยมปลาย ปี 2414 เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา

หยาดหนึ่งจากพรสวรรค์....สิ่งมหัศจรรย์ช่วยจรรโลงชีวิต(1)

          เมื่อปี  2512 ผมเรียนอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนวชิรานุกูลสงขลา  ผมได้เรียนการเขียนร้อยกรองฝึกเขียนจากอาจารย์สมพงศ์ มณีพรหม ในตอนเรียน มศ.4  พอเรียน มศ. 5 ก็ได้เรียนกับอาจารย์จรรยา  ถิ่นพังงา และอาจารย์จรรยา ถิ่นพังงา นี่เองได้นำผลงานกลอนของผมไปลงหนังสือนิตยสารศรีสัปดาห์ ซึ่งท่านเขียนนวนิยายลงประจำทำให้ผมนำผลงานมาส่งอาจารย์บ่อยมากท่านก็คัดเลือกลงพิมพ์และท่านก็ซื้อมาให้ผมอ่านเป็นประจำที่กลอนผมได้ลงพิมพ์ทุกฉบับ

          พอเกือบจะสิ้นปี 2512 ผมประสบกับทุนการเรียนก็เลยคิดกับเพื่อนอีกสองคนคือ อาทร เขมะศิริ และวรางคนา แซ่ซิ่นว่าผมจะพิมพ์รวมกลอนให้เพื่อนทั้งสองช่วยขอจากเพื่อนจากโรงเรียนอื่น ๆ มาลงพิมพ์ด้วย เพราะเฉพาะผลงานเขียนของผมคงจะน้อยไป  ก็ได้มาจากคนที่ผมไม่ได้รู้จักจากวิทยลัยครูสงขลา  โรงเรียนมหาวชิราวุธ  โรงเรียนกลับเพชรศึกษา  โรงเรียนวรนารีเฉลิม เป็นต้น  ผมสามคนก็นำมาคัดเลือกชิ้นงานที่ส่งมาได้ครบตามที่กำหนด  ผมก็ออกหาโฆษณาโดยทำหนังสือเขียนด้วยลายมือ วันเสาร์วันอาทิตย์ ก็เดินไปเรื่อย  ได้โฆษณามา 1200 บาท ก็ไปตกลงกับโรงพิมพ์ ผมพิมพ์ 500 เล่ม เขาคิดค่าพิมพ์ 620 บาท ผมตกลงพิมพ์  พิมพ์เสร็จก็นำมอบผู้สนับสนุนโฆษณาเพื่อเก็บเงิน   ตอนไปเก็บเงินจากบริษัทห้างร้านที่ลงโฆษณาผมไดเงินเพิ่มเกือบหมื่นบาท  เพราะตอนไปขอความอนุเคราะห์ให้อุปถัมภ์ช่วยค่าพิมพ์เขาไม่คิดว่าผมจะทำได้

           ตอนไปเก็บเงินเขาเลยเห็นความตั้งใจที่แน่วแน่จึงได้มอบเป็นทุนการเรียนเพิ่มมาดังกล่าวแล้ว  ส่วนหนังสือที่เหลือประมาณ 400 เล่ม ผมก็เดินเท้าไปขายตามบ้านในท้องที่อำเภอหาดใหญ่เป็นส่วนใหญ่  ขายเล่มละ 5 บาท แต่ทุกเล่มที่ผมขายได้มากกว่า 5 บาททุกรายที่ซื้อ  ไม่ใช่เพราะหนังสือรวมกลอนนี่มีผลงานที่ยอดเยี่ยมหรอกครับ  เขาให้เพราะสงสารผมที่พยายามหาทุนเรียนหนังสือเพราะไม่มีทุนพอที่จะต่อยอดเรียนได้ในระดับมหาวิยาลัยตามที่ใฝ่ฝันไว้  เพราะตอนเรียนมัธยม  เจ้าอาวาสวัดศรีสว่างวงศ์ พระอ่ำ  สิริสุวณฺโณ  ได้รับธุระช่วยเหลือค่าเล่าเรียน  ส่วนค่าใช้จ่ายอื่น ผมพับหนังสือพิมพ์ในภาคกลางคืนมาเป็นค่าใช้จ่ายได้  

           แต่ถึงแม้จะได้ทุนมาก็ตามผมก็ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยด้วยเหตุที่สอบเข้าไม่ได้นั่นเอง  แต่ก็ไม่ได้ทิ้งการเรียน ก็เข้าเรียนในวิยาลัยครูสงขลาและก็ออกมาทำงานตามที่เรียนจนกระทั่งเกษียณ

           วันก่อนพอนึกถึงวันภาษาไทย ก็เลยค้นหาหนังสือ "หยาดหนึ่งจากพรสวรรค์" โชคดีครับพบเพียงเล่มเดียวแต่ก็ยังสมบูรณ์ในตัวอักษร  ผมก็เลยคิดจะนำผลงานเขียนเมื่อ 50 ปีที่แล้วมาบันทึกไว้โดยจะนำเฉพาะผลงานที่ผมเขียนเท่านั้นมาลงในบันทึก  และงานทุกชิ้นจะไม่มีการปรับปรุงใด ๆ ทั้งสิ้น เพื่อให้เห็นผลงานในอดีตที่ชัดเจน ถ้าผลงานที่นำมาให้อ่านมีความดีที่ท่านชื่นชมก็ให้ยกคุณงามความดีมอบแด่อาจารย์ที่สอนการเขียนร้อยกรองให้แก่ผมทั้ง 2 ท่านดังได้กล่าวแล้วข้างต้นแต่ถ้าข้อเขียนอ่อนด้อยในอรรถรสก็ถือเป็นความสามารถของผมเองในตอนนั้นที่ยังอ่อนหัดและขัดเกลาอักษรยังไม่สละสลวยซึ่งก็เป็นความบกพร่องของผมเองทั้งสิ้น

           การนำผลงานเก่ามาลงในบันทึกนี้ กลอนที่เกียวกับประโลมโลกผมจะนำมาลงให้น้อยที่สุด  ประการหนึ่งนอกจากจะได้ให้อ่านกันแล้ว ผมต้องการจะนำมาบันทึกไว้ในชุมชนแห่งนี้ก็เพราะที่นี่ไม่มีโอกาสที่จะสูญหายได้ด้วย จะนำมาให้อ่านกันน่าจะประมาณ 20 กว่าบันทึก  โดยจะเริ่มด้วยการเกริ่นนำ"หยาดหนึ่งจากพรสวรรค์"ก่อนเป็นร้อยแก้ว หลังจากนั้นจะเป็นร้อยกรองทั้งหมด

หมายเลขบันทึก: 379061เขียนเมื่อ 27 กรกฎาคม 2010 22:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 18:25 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

เรียนท่านผู้อ่านครับ   ผมขอแก้ไขที่พิมพ์ผิดด้วยครับ  พศ.2414  แก้เป็น 2514 ครับ     เป็นความผิดอย่างมหันต์เพราะอ่านทวนแล้วยังมีพลาดอีก ทั้ง 2  บันทึก ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ดวยครับ

มาเยี่ยมอ่าน เรื่องราวการต่อสู้ ของการเรียนในอดีต ที่ไขว่คว้า ล่าฝัน จนในที่สุดก็ได้เรียนวิทยาลัยครูสงขลาจนเกษียณ  นับเป็นชีวิตที่ต่อสู้ของการศึกษาในสมัยก่อนนั้นไม่มีทุนเรียน ไม่มีสิ่งสนับสนุน ใครอยากเรียนต้องหาหนทางเอาเอง  นับเป็นบุคคลต่อสู้เพื่อให้ได้มาเพื่อการศึกษาอย่างแท้จริง

-ในสมัยก่อน คนที่มีการศึกษาสูงคนจะยอมรับ และได้ทำงานที่ดี พ่อแม่จึงพยายามส่งเสริมให้ลูกๆๆเรียนสูงๆๆกัน และที่ฮิตฮอด ที่สุดพอที่จะเรียนได้ ก็คงเป็นวิทยาลัยครู ไม่ว่าวิทยาลัยครูมหาสารคาม อุดรธานี หรือสงขลา  สมัยก่อนผลิตครูมากมาย เพื่อกระจายครูออกไปสอนในทุกพื้นที่ของประเทศไทย ถิ่นกันดาร ก็ให้เข้าไปสอน  อาชีพครูมีเกียรติมาก ในสมัยนั้นใครจบครูมาดีใจมากๆๆๆ  ส่วนทุกวันนี้ถือว่าธรรมดา

-อ่านประวัติ เรื่องการนำกลอนต่างๆมารวมเล่มพิมพ์ขายเพื่อเป็นทุนการศึกษา นับเป็นบุคคลที่ดิ้นรนและจริงจัง ที่จะเอาดีให้ได้ ทุกวันนี้คงสมใจแล้วนะคะ

-ส่วนจะนำกลอน ในสมัยก่อนๆๆ ที่แต่งมาแล้วจะมานำลงบล็อคดีคะ จะได้เก็บไว้ ให้คนรุ่นหลังได้อ่าน หรือได้ข้อคิดกันคะ  เขียนตรงลิขสิทธิ์ไว้ด้วยนะคะ เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของที่แท้จริง

-สำหรับสุ เขียนตามอารมณ์ ไม่ลิกขสิทธิ์หรอกคะ เพราะเป็นกลอนง่ายๆๆไม่ได้พลิ้ว หรือสละสลวย จนต้องลิกขสิทธิ์ แล้วจะกลับมาอ่านนะคะ

-เขียนเสร็จแล้วไปบอกด้วยคะ ขอเป็นหนึ่งกำลังใจนะคะ

-ขอขอบคุณที่เข้าไปเยี่ยมบล็อกสุ ในบทเล่นคอมจนเป็นยาเสพติด

  ภาพสวย กำลังใช้ความคิด มอบให้คะ ไม่ใช่รูปสุหรอกนะ

สวัสดีครับ   ผมไม่ได้ดีทางเขียนกลอนหรอกครับ เพราะเราอยู่บ้านนอกไม่มีแหล่งเผยแพร่   อาจารย์จรรยา ที่สอนก็เดินทางไปทำงานที่อื่น  แต่การทำหนังสือวารสาร หนังสืองานต่างจะได้รับมอบหมายให้เป็ยผู้รับผิดชอบเป็นประจำ ยิ่งหนังสือที่ระลึกงานต่าง ต้องให้ผมจัดทำ ไม่มีค่าแรงค่าสมอง ผมขออย่างเดียวในการจัดสาระเข้าในเล่มให้เป็นอิสระของ   ธรรมะใงละครับ ผมอ่านมากก็เลยสะสมไว้มาก พอแจกในแต่ละงานใครเดินผ่านผมจะยิ้มให้ผมทุกคน ผมก็นึกไปว่า  เขาคงยิ้มให้ที่ผมที่ผมได้ทำหนังแจกในแต่ละงานนั่นเอง  (คิดไปเองนะครับ)  ส่วนผลงานนับตั้งแต่วันนี้ก็จะนำลงเฉพาะกลอนซึ่งได้คัดไว้มากกว่า20 สาระ  ผมคงไม่ต้องแจ้งนะครับ  ขอบคุณที่เตือนเรื่องลิขสิทธิ์ ผมลืมทุกครั้งที่เขียนกลอน  สำหรับภาพก็ขอขอบคุณเช่นกันที่แนบมาให้ดู  ถ้าสมัยก่อนเห็นภาพอย่างนี้ไมนถึง 10 นาที่ก็จะเขียนบรรยายเป็นคำกลอนทันทีให้พรรคพวกอ่าน  ภาพต่างจะเป็นวัตถุดิบในการเขียนงานกลอนได้มาก  แม้แต่คำรำพึงรำพัน  หลายคนคาดเดาว่าผมคงเขียนกลอนประโลมโลกคงใช้ได้  แต่เปล่าเลยครับ  ก็พอส่งครูส่งอาจารย์ได้เท่านั้น 

         มีความคิดอย่างหนึ่งหนังสือที่พิมพ์นี่นะครับกำลังคิดว่าจะทำอย่างให้เป็นเล่มอีกครั้งไว้แจกจ่ายผู้ที่สนใจ  แต่เป็นเพียงแนวคิดเท่านั้นนะครับ  คงเป็นไปได้ยาก   แต่ตอนนี้เก็บใส่ตู้เซฟเลยทีเดียว เป็นหลักฐานสำคัญที่จะเกี่ยวข้องกับลิขสิทธิ์แน่นอน  เพราะจากการอ่านในชุมชนแห่งนี้พบปรากฏงานของคนอื่น แล้วบอกว่าตนเองแต่งเยอะมากครับ  แต่หลายคนแต่งเองได้ดีเช่นกันแต่สัมผัสจะต้องเอาใจใส่ในการเขียนให้มากผลงานก็จะดีเอง

          ขอบคุณอีกครั้งที่ติดตามครับ

นายศิริรัชฎ์ เขมะศิริ

เรียนคุณอาธนา

ผมเป็นลูกชายของ พ่ออาทร เขมะศิริ มีโอกาสได้อ่านบทความที่คุณอาเขียนไว้ รู้สึกซาบซึ้งใจที่คุณอายังมีความทรงจำ และระลึกถึงพ่อของผมเสมอมา แม้ว่าพ่อผมจะจากโลกนี้ไปนานแล้ว จึงฝากข้อความ และส่งความปราถนาดี มาให้คุณอาธนา ณ โอกาสนี้ครับ


ลูกพ่ออาทร เขมะศิริ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท