นั่งคิด..เพื่อบริหารสมอง


ทำให้นึกถึงหลักการทางพุทธศานานะ ที่แนะนำให้คนเราทำอะไรอย่างมีสติตลอดเวลา แม้แต่การหายใจก็กำหนดรู้ว่าเรากำลังหายใจเข้าหรือออก เวลาเดินก็บอกตัวเองในใจให้รู้ ว่าเรากำลังก้าวขาข้างไหนออกไป จะว่าไปแล้วมันก็คือ brain exercise ชนิดหนึ่ง ที่ทำให้สมองได้มีการทำงานตลอดเวลา เพื่อลดการเสื่อมของเซล ดังนี้สินะ..คนที่ฝึกการมีสติ จึงสมองดีไม่ขี้ลืม รู้สติแม้ถึงวาระลมหายใจสุดท้ายได้

 

 

                วันนี้หยุด 1 วัน จึงมีโอกาสได้นอนอย่างเต็มอิ่มจนตื่นสาย แล้วก็มีเวลาจิบกาแฟนั่งคิดอะไรไปได้เรื่อยเปื่อย  สี่วันที่ผ่านมา ... สองวันแรกเข้ารับการสัมมนาแกนนำพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ลำปำ จ.พัทลุง สองวันให้หลังก็ฟังการอบรมเรื่องการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรมระบบประสาท

               

               สี่วันมานี้ได้รับความรู้มาจนหัวบวมขาบวม (เพราะได้เที่ยวด้วย) แต่ก็สนุกดี ได้รู้และได้ทำอะไรที่ไม่เคยและไม่ค่อยได้ทำมาก่อนหลายอย่าง

 

               

               วันนี้จึงมานั่งสรุปว่า เราได้อะไรมาบ้าง

               

               1. ที่แน่ๆ คือได้ CNEU มา 24 หน่วย ถือว่าเยอะมาก 55555

               

               2. ได้รูปสวยๆ ตอนไปเที่ยวทะเลน้อย (เอ..ทำไมนึกเรื่องไม่มีสาระนำมาเป็นอันดับแรกๆล่ะเนี่ย)

               

               3. ได้รู้ขั้นตอนการปฏิบัติที่อัปเดทใหม่ที่จะปฏิบัติกับผู้ป่วยหลังการเสียชีวิต ได้แก่

                        - การแต่งหน้าศพ ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง และมีเหตุผลดีๆอย่างไรในการทำ

                        - การกล่าวคำไว้อาลัยผู้ตาย ซึ่งพอได้รับทราบถึงจุดประสงค์ของการทำ และผลดีของการทำ ต่อไปคงไม่รู้สึกเขินที่จะทำแล้ว

                        - การให้คำแนะนำญาติในการแจ้งตายและการนำศพเดินทางออกนอกจังหวัด ซึ่งเมื่อก่อน พอคนไข้เสียชีวิตก็ต้องถามปรึกษาคนอื่นกันทุกที (เนื่องจากที่วอร์ดนานๆผู้ป่วยจะเสียชีวิตสักครั้ง) แต่ตอนนี้รู้แล้ว คงสามารถให้คำปรึกษาคนอื่นได้มั่ง

                        - ฯลฯ

 

Img_6114 

               

               4. ได้รู้จักการทำ brain exercise ในการป้องกันอัลไซเมอร์ ว่าทำอย่างไรได้บ้าง ที่ผ่านมาก็เคยแต่ทำ lung exercise ไม่ก็ muscle exercise ทีนี้พอได้ยิน brain exercise ก็เลยหูผึ่งสนใจ  ที่แท้ก็คือการบริหารให้สมองได้ทำอะไรๆในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนนั่นเอง

               

               ขอทบทวนความคิดเรื่อง brain exercise นิดนึง ตามที่วิทยากรบอกว่า คนเรามักทำอะไรตามความเคยชินในแต่ละวัน ทำให้สมองไม่ได้คิดไม่ได้สั่งก็สามารถทำไปได้เลยเป็นอัตโนมัติ  ดังนั้นการที่เราได้เปลี่ยนมาทำในสิ่งที่ไม่เคยคุ้น ไม่เคยทำ จะทำให้แอกซอนในสมองจะได้ถูกสร้างขึ้นมาบ้าง (เมื่อก่อนเชื่อว่าเมื่ออายุโตขึ้นมาระดับหนึ่ง สมองเราจะไม่มีการงอกใหม่แล้ว แต่จากที่ฟังในการบรรยายก็มีความรู้ใหม่มาว่า เซลสมองยังมีการงอกใหม่ได้อยู่)

               

               เพราะอัลไซเมอร์คือภาวะสมองเสื่อม แต่ถ้าเรามีการกระตุ้นให้สมองได้ทำงานและเซลสมองได้งอกใหม่ขึ้นมา ก็จะช่วยลดหรือป้องกันภาวะเสื่อมได้

               

Img_6310 

 

               เราจะทำอย่างไรเพื่อกระตุ้นการงอกของเซลประสาทเหล่านั้น หรือก็คือจะบริหารสมองได้อย่างไรบ้าง

               

                        1. ทำกิจกรรมที่เราไม่เคยชินบ้าง กล่าวคือลดการทำกิจกรรมที่ทำอย่างอัตโนมัติลง มาทำกิจกรรมภายใต้การสั่งงานของสมอง เช่นจากที่เคยแปรงฟันหรือหยิบจับสิ่งของด้วยมือขวา ก็มาทำด้วยมือซ้ายบ้าง (ส่วนคนที่ทำด้วยมือซ้ายมาตลอด ก็ให้หัดทำด้วยมือขวาบ้างนะคะ)... อันนี้ทำให้นึกถึงหลักการทางพุทธศานานะ ที่แนะนำให้คนเราทำอะไรอย่างมีสติตลอดเวลา แม้แต่การหายใจก็กำหนดรู้ว่าเรากำลังหายใจเข้าหรือออก เวลาเดินก็บอกตัวเองในใจให้รู้ ว่าเรากำลังก้าวขาข้างไหนออกไป จะว่าไปแล้วมันก็คือ brain exercise ชนิดหนึ่ง ที่ทำให้สมองได้มีการทำงานตลอดเวลา เพื่อลดการเสื่อมของเซล  ดังนี้สินะ..คนที่ฝึกการมีสติ จึงสมองดีไม่ขี้ลืม รู้สติแม้ถึงวาระลมหายใจสุดท้ายได้

               

                        พอนึกถึง brain exercise และลมหายใจสุดท้าย การอบรมทั้งสองเรื่องก็อดผูกโยงมาเรื่องเดียวกันไม่ได้ ทำให้นึกถึงว่า เอ.. แล้วมันมีการ exercise จิตวิญญาณบ้างมั้ยนะ เพื่อให้เรามีจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง เพราะการที่คนมีจิตวิญญาณที่เข้มแข็งจะทำให้เราสามารถมีชีวิตและเผชิญต่อปัญหาต่างๆในชีวิตได้อย่างเข้มแข็ง

               

                        เอาล่ะ.. ความคิดชักออกทะเลแล้ว ขอดึงกลับมาเรื่องเดิม ชะงักเรื่อง spiritual exercise ไว้ก่อนก็แล้วกัน

               

Img_6189 

                        2. ข้อนี้เราคิดต่อยอดจากวิทยากร... เราคิดว่าการได้คิด และเอาความคิดต่างๆมาถ่ายทอดออกเป็นการเขียน ก็เป็นการทำ brain exercise อย่างหนึ่งนะ แล้ววันนี้เราจึงมาทำ brain exercise  โดยการนึกทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้มา มาสรุปเป็นความเข้าใจของเรา จากนั้นก็ใช้สมองคิดเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดและตัวอักษร เราสังเกตว่า ถ้าหากเราได้ทำสิ่งนี้บ่อยๆ ความคิดของเราก็จะเป็นระบบขึ้น และหากเราได้เรียบเรียงความคิดออกมาเป็นตัวอักษรบ่อยๆ เราก็จะถ่ายทอดอะไรออกมาได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าหากห่างหายไปนานโดยไม่ค่อยคิดอะไร ปล่อยให้สมองว่างเปล่า ทำอะไรไปอย่างอัตโนมัติ พอจะคิดจะเขียนอะไรมันก็คิดและเขียนไม่ออกเลย

               

                        นอกจากนี้..เรายังอดคิดสงสัยไม่ได้ว่า การทำโจทย์คิดแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในชีวิตหรือปัญหาเชาวน์ จะว่าไปมันก็น่าจะเป็นการบริหารสมองเหมือนกันนะ เพียงแต่มันก็ต้องทำในปริมาณที่เหมาะสม ก็เหมือนการออกกำลังกายนั่นแหล่ะ ที่เราต้องออกอย่างพอเหมาะเพื่อความแข็งแรง ถ้าทำหนักไปมันก็จะเกิดโทษได้ ดังนั้นถ้าเราคิดอะไรหนักๆมากๆ ไฟฟ้าสมองอาจจะเกิดการช็อตแล้วทำลายสมองให้บาดเจ็บได้ (เหมือนกับออกกำลังกายมาก แล้วกล้ามเนื้อหลั่งกรดออกมาทำให้เกิดกล้ามเนื้ออักเสบเช่นไรเช่นนั้น...ก็คิดเรื่อยเปื่อยไปนั่น)

               

                        3. การคิดการทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ คิดทำสิ่งดีๆ เช่น การบำเพ็ญประโยชน์ การคิดอยากสร้างความสุขช่วยเหลือคนอื่น ที่เมื่อทำแล้วเรารู้สึกดีมีความสุข มันเหมือนกับสมองหลั่งสารบางอย่างออกมาให้กับตัวเรา เราจึงเกิดความสุขขึ้น และเมื่อเกิดความสุขแล้ว เรามักรู้สึกว่าสมองโล่งปลอดโปร่ง เวลานั้นเมื่อไปขบคิดปัญหาต่างๆ ก็มักขบได้แตกโดยง่าย แสดงว่ามันคงต้องเกิดอะไรดีๆขึ้นกับสมองของเราแน่เลย

               

                        4. ข้อนี้เราคิดไม่ออกในตอนนี้ แต่เชื่อว่ามันต้องยังมีอีกอย่างแน่นอน ไว้เซลประสาทในสมองของเราเพิ่มขึ้น แล้วคิดเรียบเรียงมันออกมาได้ ค่อยมาต่อยอดใหม่ก็แล้วกัน

               

               Img_6223 

 

               เอาล่ะ..กลับมาประเด็นหัวข้อหลักต่อ ว่า 4 วันมานี้ได้อะไรมามั่ง... 

               5. ได้ความรู้ที่เกี่ยวกับการให้คำแนะนำผู้ป่วยทางด้านระบบประสาทที่ต้องถูกกลับไปดูแลที่บ้านให้แก่ญาติ สำหรับหัวข้อนี้ ที่เราปิ๊งมากๆ นั่นคือการสร้างนวัตถกรรมที่จะทำไปใช้ในการดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะรูปต่างๆที่วิทยากรเอามาให้ดู ซึ่งถ่ายไว้ตอนเยี่ยมบ้าน ที่ผู้ดูแลได้ประยุกต์ขึ้นมาเองจากวัสดุต่างๆ ทำให้เราเกิดความคิดว่า หากเราได้รวบรวมไอเดียเหล่านั้นมาหรือค้นหาเพิ่ม แล้วเราไว้ใช้แนะนำแก่ญาติผู้ป่วยของเราเพื่อเป็นทางเลือกแก่เขาจะนำไปใช้ ก็คงจะดีไม่น้อย

               

               6. มีน้องคนหนึ่งที่วอร์ด PICU มอ.ได้คิดเครื่องมือสื่อสารที่ประยุกต์ใช้โดยระบบไอที  มาใช้แก่ผู้ป่วยเด็กในวอร์ดที่ไม่สามารถพูดได้เพราะใส่ท่อหลอดคอหรือใส่เครื่องช่วยหายใจ เป็นเครื่องมือที่ดีและน่าสนใจมาก คิดว่าคงสามารถต่อยอดมาใช้กับผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ ตลอดจนผู้ป่วยคนต่างชาติซึ่งมีปัญหาในการสื่อสารได้ (ขอไม่นำมาเล่าบรรยายในที่นี้นะคะ เพราะรู้สึกสมองเริ่มเมื่อยแล้ว ขอพักก่อน ท่านใดสนใจ ติดต่อไปที่น้องหนึ่ง ศรัญญา วอร์ด PICU ของ รพ.มอ. ก็แล้วกันนะคะ)

               

Img_6329 

               ความจริงยังมีความประทับใจและอะไรดีๆจากการอบรมมากกว่านี้นะ แต่เราคงไม่ได้ใช้งานสมอง ในการคิดและเรียบเรียงลงมาเขียนนานแล้ว พอออกกำลังไปได้สักพัก เลยชักล้าๆ งั้นเอาแค่พอเหมาะพอดีก่อนก็แล้วกัน ไว้ค่อยมาคิดมาเขียนต่อวันหลังอีก

               

               อย่างไรก็ตาม ยังดีใจนะ ที่แม้ห่างหายไปนาน แต่พอริเริ่มหยิบทำ ก็ยังทำได้ยังเขียนออก นึกว่าจะเขียนไม่ออกเสียแล้วสิ  ^___^

              

Img_6397 

ปล.ขอบคุณรูปสวยๆมากมาย จากกล้องของเพื่อนนะคะ แหะๆงานนี้เสียดายไม่ได้แบกกล้องไปเอง

หมายเลขบันทึก: 376204เขียนเมื่อ 17 กรกฎาคม 2010 15:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ยินดีครับ....................

โค้งคำนับนั่งอ่านช่วยสานฝัน

สาระดีมีจุดเด่นเป็นสำคัญ

ชอบสร้างสรรค์เสพหาวิชาการ

ขยันเขียนเวียนหามาบันทึก

เรื่องไม่นึกก็ได้เห็นเป็นแก่นสาร

เกิดความคิดติดปัญญาพาเชี่ยวชาญ

ประสบการณ์เก็บกองสมองเรา

ธนา นนทพุทธ

จักสานอักษรกลอนคิดเห็น

จากความคิด..สู่การเขียน..

ผมถือว่าเป็นกระบวนการหนึ่งของการขัดเกลาจิตใจของเราเอง..
บางที การเขียน ก็ยากยิ่งกว่าการพูด

นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังพยายามทำความเข้าใจ...

ขอบคุณครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท