เดิน-วิ่ง แกว่งแขนดีกว่า


เราๆ ท่านๆ คงจะมีประสบการณ์เห็นคนใส่ใจสุขภาพวิ่ง หรือเดินสายพานไฟฟ้า (treadmill) ท่าทางมีความสุขมาบ้างไม่มากก็น้อย

<p>Hiker</p>เราๆ ท่านๆ คงจะมีประสบการณ์เห็นคนใส่ใจสุขภาพวิ่ง หรือเดินสายพานไฟฟ้า (treadmill) ท่าทางมีความสุขมาบ้างไม่มากก็น้อย <p>นักวิ่งหรือนักเดินเหล่านี้ใช้สายพานไฟฟ้าไปกำราวจับด้านข้างไปก็มี ปล่อยมือฟรีก็มี</p>

ข่าวดีคือ รายงานข่าวสุขภาพลูกจ้างภาครัฐอเมริกามีคำแนะนำวิธีดีๆ เกี่ยวกับวิธีใช้สายพานไฟฟ้าให้ปลอดภัย

การวิ่ง-เดินสายพานไฟฟ้าเป็นการออกกำลังกายภายในอาคาร ทำให้ปลอดภัยจากควันรถ ลดความเสี่ยงจากการถูกสุนัขเห่าหรือกัด ไม่ต้องไปถูกแดดร้อนๆ หรือฝน

นอกจากนั้นสายพานไฟฟ้าบางรุ่นยังปรับให้เอียงขึ้น เปรียบคล้ายการเดินขึ้นเขาได้ การเดินขึ้นเขาเป็นช่วงสั้นๆ ช่วยเพิ่มการออกแรงขา ทำให้ขาแข็งแรง

สายพานไฟฟ้าบางรุ่นมีข้อมูลแสดงระยะทาง เวลา รอบ ชีพจร หรือพลังงานที่ใช้(แคลอรี่) เหมาะกับคนที่ “ทำจริง(จริงจัง)” มากเป็นพิเศษ...

    คำแนะนำ:

คำแนะนำเพื่อการเดิน-วิ่งสายพานไฟฟ้าให้ได้ผลดี และปลอดภัยควรทำอย่างนี้ครับ...

(1). เริ่มช้าๆ:                                                                                 

การเดินหรือวิ่งบนสายพานไฟฟ้าไม่ควรทำตามดาราหนังที่เปลี่ยนเสื้อผ้า ก้าวขึ้น แล้ววิ่งเร็วทันที นั่นเป็นโลกมายา เป็นโลกลวงหรือการแสดง ไม่ใช่ชีวิตจริง...

ทางที่ดีควรยืดเส้น (stretching) เสียก่อน เริ่มด้วยการเดินช้าๆ เช่น 2 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้นช้าๆ ฯลฯ ค่อยๆ อุ่นเครื่อง (warm up) แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มความเร็วช้าๆ

</font><p>(2). ปล่อยมือ ป้องกันบาดเจ็บ:                                                     </p>

การใช้มือกำราวด้านข้างตลอดเวลาทำให้กล้ามเนื้อหน้าอกเกร็ง กล้ามเนื้อหลังถูกยืดออกมากเกิน ข้อไหล่และตะโพกอาจจะบิดไปมามากเกิน กล้ามเนื้อเหล่านี้อาจจะทนต่อการเกร็ง หรือยืดติดต่อกันนานๆ ไม่ไหว เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ อักเสบ ดีไม่ดี... วันหลังเลยเดินหรือวิ่งไม่ไหว ไม่ได้ออกกำลัง

</font><p>(3). ปล่อยมือ ได้แรง:                                                                   </p><p>การเดินหรือวิ่งสายพานไฟฟ้าโดยไม่จับราวด้านข้างช่วยให้เผาผลาญพลังงานได้เพิ่มขึ้น 20 % ทำให้บริหารหัวใจและระบบเส้นเลือดได้ดีขึ้น ควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันเลือดสูง ฯลฯ</p><p> เวลาเราเดินออกกำลังกายที่อื่น แม้ไม่ได้ใช้สายพานไฟฟ้าก็ควรแกว่งแขนเหมือนกัน เพี่อให้ได้ออกแรงมากขึ้นเช่นกัน </p><p>(4). ปล่อยมือ ป้องกันความดันขึ้น:                                               </p><p>การจับราวด้านข้างตลอดเวลาทำให้กล้ามเนื้อแขน และกล้ามเนื้อหน้าอกเกร็งติดต่อกันนาน การเกร็งนานๆ มีส่วนทำให้ความดันเลือดสูงเพิ่มขึ้น เสี่ยงอันตรายจากความดันเลือดสูง เช่น เส้นเลือดสมองแตก เป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต ฯลฯ </p><p>ทางที่ดีคือ ปล่อยมือเวลาเดินหรือวิ่ง ถ้าต้องการดูข้อมูล เช่น ชีพจร ฯลฯ ให้ปรับลู่วิ่งเป็นแนวราบ ไม่เอียงขึ้นคล้ายขึ้นที่สูง จับราวจับด้านข้างชั่วคราว เสร็จแล้วปล่อย อย่าจับนาน </p><p>(5). เลิกช้าๆ:                                                                                </p>

เวลาเราเดิน วิ่ง หรือออกกำลัง... เส้นเลือดในกล้ามเนื้อจะขยายตัว เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อมากขึ้น ถ้าหยุดทันทีอาจทำให้เลือดคั่งในกล้ามเนื้อ เลือดไหลกลับหัวใจได้น้อยลง และเสี่ยงต่ออาการหน้ามืด เป็นลม

 ทางที่ดีคือ ให้เลิกช้าๆ ค่อยๆ ลดความเร็วลง เดินช้าๆ ต่อไปสัก 2-10 นาที ค่อยๆ เบาเครื่อง (warm down) คนที่แข็งแรงอาจใช้เวลาเบาเครื่องน้อย คนที่ไม่ค่อยแข็งแรงควรใช้เวลาเบาเครื่องนานหน่อย

สรุป > ไม่ว่าจะเดินหรือวิ่ง... แกว่งแขนดีกว่า                             

  • (1). ได้ออกกำลังแขน
  • (2). ได้ใช้พลังงานเพิ่มขึ้นถึง 20 % จึงช่วยควบคุมน้ำหนัก และป้องกันโรคอ้วนได้ดีกว่า

    แหล่งที่มา:

  • ขอขอบคุณ > Health e-Report 200607: Walk this way? http://www.geha.com/Health_eReport/200607/mind_body/walk_this_way.html > July 5, 2006. // source > http://www.aicr.org
  • นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์จัดทำ > ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๙ > ปรับปรุงแก้ไข 8 พฤษภาคม 2550.
  • ขอขอบพระคุณ > โรงพยาบาลค่ายสุรศักดิ์มนตรี + อาจารย์เทวินทร์ IT + พต.ศรัณย์ มกรพฤฒิพงษ์ โร > สนับสนุนทางเทคนิค + อินเตอร์เน็ต.
  • ขอขอบพระคุณ > ศูนย์มะเร็งลำปาง + อาจารย์ ณรงค์ ม่วงตานี IT ศูนย์มะเร็งลำปาง > สนับสนุนทางเทคนิค + อินเตอร์เน็ต.  
  • แนะนำให้อ่าน "บ้านสาระ" > [ Click - Click ]

</font>

หมายเลขบันทึก: 37591เขียนเมื่อ 7 กรกฎาคม 2006 11:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:26 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)
เห็นชื่อบันทึกทีแรก นึกว่า เป็นการปล่อยให้กระแสไฟฟ้าอ่อนๆเข้าสู่ร่างกายซะอีก  แล้วการที่กระแสไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกาย จะเป็นการกระตุ้นเซลล์ประสา ให้คนตื่นตัวขึ้น จริงไหมครับ (ได้ยินเขาว่ามาแบบนั้น)

ขอขอบคุณอาจารย์บอน และท่านผู้อ่านทุกท่าน...

  • ขอขอบคุณครับ
  • ชื่อเรื่องมาจาก "treadmill" หรือลู่วิ่ง-เดินไฟฟ้า สายพานสำหรับวิ่ง-เดิน
  • ถ้าหาชื่อที่ดีกว่า "เดิน-วิ่งสายพาน..." จะเปลี่ยนชื่อเรื่องครับ... ขอคิดชื่อใหม่สักพัก

การใช้กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ กระตุ้นร่างกาย...
(1). มีใช้ในกระบวนการฝังเข็ม (acupuncture)
(2). เท่าที่ทราบ... การกระตุ้นด้วยไฟฟ้าให้ตื่นตัวยังไม่มีหลักฐานว่า มีประโยชน์ต่อร่างกาย หรือจิตใจ

บันทึกอาจารย์มีประโยชน์อีกแล้วคะ :) ดิฉันเห็นคนใช้ treadmill แล้วจับที่จับไว้เยอะแยะคะ แถมมีบางคนเดินแล้วก็อ่านหนังสือไปด้วยนะคะ บ้างก็ดูทีวี และหลายคนวิ่งพลางฟังเพลงไปพลาง

เช่นเดียวกันกับดิฉันค่ะ คือจะวิ่งแล้วใส่หูฟังเพลงไปด้วยค่ะ แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันนะค่ะว่า จะเป็นอันตรายต่อแก้วหูจากแรงกระแทกของการวิ่งหรือไม่

ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์จันทวรรณ ท่านผู้ให้ข้อคิดเห็น และท่านผู้อ่านทุกท่าน...

  • คนที่ใช้ treadmill ไป + จับราวด้านข้างไป > เสี่ยงปวดไหล่ ปวดข้อตะโพก ปวดเอว ความดันเลือดสูง(จากการเกร็งมือและแขนนานๆ)
  • แนะนำให้ปล่อยมือจากราวครับ

แรงกระแทกจากการวิ่ง...

(1). มีผลดี คือทำให้กระดูกบาดเจ็บนิดหน่อย (microfractures) > ร่างกายจะรีบซ่อมแซม > นำแคลเซียมไปจับ > ทำให้กระดูกแข็งแรง

(2). มีความเสี่ยง คืออาจทำให้ข้อกระดูก โดยเฉพาะข้อเข่าเสื่อม... ถ้าวิ่งเกินคราวละ 30 นาที วิธีป้องกันคือ ถ้าวิ่งนานมาก > ให้พัก > แล้วกลับมาวิ่งใหม่ได้

  • แนวคิดนี้น่าจะมีส่วนทำให้เกิด cross / circuit training คือ ให้วิ่งบ้าง เดินบ้าง กับการออกกำลังกายรูปแบบอื่นสลับกัน เช่น จักรยาน แอโรบิค ยกน้ำหนัก ฯลฯ
  • วิธีป้องกันข้อเข่าเสื่อม นิยมให้กล้ามเนื้อหน้าขา (quadriceps) ออกกำลังแบบต้านแรง เช่น นั่งบนเก้าอี้ นำน้ำหนักคล้องข้อเท้า เหยียดเข่าช้าๆ สลับกับปล่อยลงมาช้าๆ

(3). เท่าที่ทราบ... แรงกระแทกจากการวิ่งไม่ทำเป็นอันตรายต่อหูครับ
(4). การสวมหูฟัง... ไม่ควรเปิดเกิน 60 % ของระดับความดัง (volume) หรือทดสอบ โดยฟังเสียงคนอื่นพูดตามปกติ ถ้าไม่ได้ยินแสดงว่า ดังมากเกิน

วันนี้ผมมีเคล็ดลับมาฝากครับ  การวิ่งนั้นดีมากเลยนะครับ  ทำให้ได้ออกกำลังกาย   แต่จะเสียเวลาเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับ  จากการทดลองของนักวิจัยชาวอเมริกาพบว่า การหัวเราะ1นาที=วิ่ง1ชม.ครับ

ขอขอบพระคุณอาจารย์ ดร.อาทิตย์และท่านผู้อ่านทุกท่าน...

  • ขอขอบพระคุณสำหรับเคล็ดลับครับ...

หัวเราะ...

  • การมองโลกในแง่ดี การยิ้ม การหัวเราะ และการอบรมเจริญเมตตามีส่วนช่วยลดความเครียด ความโกรธ ความคับแค้น และความเศร้าได้ดี (โทสะ)

อรรถกถาวิสุทธิมรรคท่านว่า

  1. คนมักโกรธ > แก่เร็ว
  2. คนมักมาก (โลภมาก เช่น กินมากเกิน ฯลฯ) > โรคมาก
  3. คนมักโง่ (สติปัญญาน้อย) > อายุสั้น

สัปปายะ...

  • คนเราแต่ละคนมีสัปปายะ (บาลี = ความพอเหมาะ พอดี หรือ "สบาย") ต่างกัน
  • ตัวอย่างเช่น การหัวเราะอาจจะไม่เหมาะกับพระ สามเณร หรือผู้ที่สมาทานศีลแปด (คนกลุ่มน้อยนิด) ฯลฯ
  • คนส่วนใหญ่... ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง เมตตาบ้าง พอให้ความเครียดลดลงมีแนวโน้มจะดีกับสุขภาพ...

ขอขอบพระคุณครับ...

ได้ลองฝึกตามที่อาจารย์แนะนำได้แล้วค่ะได้ผลดีมากๆ เมื่อก่อนไม่ทราบว่าต้องมีการวอร์มร่างกายก่อน พอเปิดเครื่องปุ๊บก็วิ่งทันทีทำให้มีอาการเจ็บกล้ามเนื้อค่ะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นแล้วค่ะเพราะวอร์มก่อนและหลังวิ่งเสมอ แต่ยังมีข้อสงสัยเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. เวลาที่มีรอบเดือนถ้าออกกำลังกายโดยการวิ่งบนสายพาน หรือประเภทอื่นๆ จะมีผลกระทบกับระบบร่างกายส่วนไหนหรือไม่ ถ้ามีผลกระทบควรงดออกกำลังหรือไม่

2.ถ้าต้องการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องเพื่อลดไขมันส่วนเกิน การวิ่ง จะช่วยได้หรือไม่ค่ะ หรือมีการออกกำลังแบบใดที่จะได้ผลโดยตรงคะ

ขอบพระคุณค่ะ

ขอขอบคุณ... คุณปิยะธิดา

  • ช่วงที่มีรอบเดือนไม่จำเป็นต้องงดการออกกำลังกายครับ...
  • ยกเว้นมีโรคเลือดจาง ซึ่งทำให้มีอาการเพลีย ซีด หน้ามืด ใจสั่น

ออกกำลัง...

  • การออกกำลังช่วงมีประจำเดือนมีข้อดีคือ มีส่วนช่วยให้ร่างกาย "ทนทาน" ต่ออาการปวดประจำเดือนเพิ่มขึ้น(ถ้ามี)

ไขมันหน้าท้อง...

  • ไขมันหน้าท้องลดด้วยการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องไม่ได้ แต่ช่วยให้หุ่นดีขึ้น (firm) ได้
  • การลดไขมันหน้าท้องมีวิธีหลักๆ 2 วิธี...
  1. ออกกำลังหลายวิธีผสมผสานกัน โดยเน้นการเดินเร็ว 30 นาที/วัน + เดินตามปกติอีก 30 นาที/วัน
  2. เดินขึ้นลงบันได เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อหน้าขา ถ้าไม่มีอาการปวดเข่า... ถ้ามีให้เดินแนวราบเร็วๆ จนแข็งแรง แล้วลองใหม่
  3. ออกกำลังต้านแรง เช่น ยกน้ำหนัก ฯลฯ ง่ายๆ คือ นำขวดน้ำดื่มมาใส่น้ำ 0.5 ลิตร เดินแกว่งแขวน ค่อยๆ เพิ่มคราวละไม่เกิน 0.5 ลิตรจนถึง 1.5 ลิตร (ผู้หญิงถ้ายกน้ำหนักไม่มากจริงๆ จะไม่มีกล้ามขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนเพศชายต่ำ ยกเว้นยกน้ำหนักแบบแชมป์เอเชียนเกมส์)

แนะนำให้อ่าน

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท