วิธีการดำเนินการวิจัย
การดำเนินการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) โดยมีขั้นตอนการดำเนินการวิจัย ดังนี้
1. ขั้นพัฒนาและนำหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยตามแนวคิดทางพุทธศาสนาและทฤษฎีพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กไปใช้
1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในขั้นตอนนี้ คือ
1) ผู้บริหารโรงเรียนและครูประจำชั้น รร.อนุบาลบ้านฝันดีจำนวน 4 คน
2) เด็กปฐมวัยที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาล ภาคต้น ปีการศึกษา 2550 จำนวน 26 คน
1.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในตอนนี้ประกอบด้วยเครื่องมือ 2 ชนิด คือ
1) แบบสัมภาษณ์ความต้องการของผู้บริหารโรงเรียนในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย โดยการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการในประเด็น ดังนี้คือ ความต้องการ วิสัยทัศน์ในการพัฒนาหลักสูตร สภาพการจัดการเรียนการสอนที่โรงเรียนดำเนินการก่อนที่จะร่วมพัฒนาหลักสูตรกับผู้วิจัย ตลอดจนข้อมูลทางกายภาพและความพร้อมของโรงเรียนในการพัฒนาหลักสูตร
2) หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยตามแนวคิดทางพุทธศาสนาและทฤษฎีพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ประกอบด้วย จุดมุ่งหมายหลักสูตร โครงสร้างหลักสูตร คำอธิบายมวลประสบการณ์ชั้นอนุบาล 1-3 ประมวลการสอน หน่วยการเรียนรู้ และมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของโรงเรียนอนุบาลบ้านฝันดี
1.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล ในขั้นพัฒนาและนำหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยตามแนวคิดพุทธศาสนาและทฤษฎีพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กไปใช้ ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูล แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
1.3.1 ขั้นเตรียมการพัฒนาหลักสูตร ผู้วิจัยได้ดำเนินการดังนี้ คือ
1) ขั้นศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี งานวิจัยทั้งในและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัยของชาติตะวันตก รูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัยของชาติตะวันออก หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยของประเทศไทย รูปแบบการจัดการศึกษาที่นำแนวคิดทางพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ แนวคิดการพัฒนามนุษย์ตามหลักพุทธศาสนา ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ Paiget ทฤษฎีวัฒนธรรมเชิงสังคมของ Vygotsky และทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคมของ Bandura ผู้วิจัยได้แนวคิด ทฤษฎีที่นำมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตร
2) ขั้นศึกษาสภาพของโรงเรียนอนุบาลบ้านฝันดีและความต้องการในการพัฒนาหลักสูตรของโรงเรียน ผู้วิจัยเลือกโรงเรียนโดยวิธีแบบเจาะจง คือ โรงเรียนอนุบาลบ้านฝันดี กรุงเทพมหานคร โดยวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริหารโรงเรียนในการพัฒนาหลักสูตร ในประเด็นต่าง ๆ คือ ข้อมูลทั่วไปและลักษณ์ทางกายภาพของโรงเรียนความต้องการและวิสัยทัศน์ในการพัฒนาหลักสูตร สภาพการจัดการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมประจำวัน สื่อ อุปกรณ์การเรียน และการประเมินผลของโรงเรียนก่อนการพัฒนาหลักสูตร และความพร้อมของโรงเรียนในการพัฒนาหลักสูตร ซึ่งจาการสัมภาษณ์ผู้บริหารโรงเรียน ผู้วิจัย พบว่า ผู้บริหารโรงเรียนมีความต้องการในการพัฒนาหลักสูตร เนื่องจากเป็นโรงเรียนเปิดใหม่ มีแผนงานที่จะเปิดการเรียนการสอนในระดับชั้นอนุบาล ปีที่ 1-3 ในภาคปลาย ปีการศึกษา 2549 แต่ยังไม่มีหลักสูตรที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง อีกทั้งผู้บริหารโรงเรียนมีแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยและสามารถพัฒนาเด็กให้มีทักษะการคิด มีคุณธรรม จริยธรรมและมีปัญญารู้เท่าทันการเปลี่ยนของสังคม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของผู้วิจัย และโรงเรียนมีความพร้อมและมีความยินดีจะให้ผู้วิจัยเข้าไปพัฒนาหลักสูตรให้แก่โรงเรียน และจากการศึกษาข้อมูลทางกายภาพ พบว่า โรงเรียนอนุบาลบ้านฝันดีเป็นโรงเรียนอนุบาลขนาดเล็ก มีบรรยากาศอบอุ่นเหมือนบ้าน จัดการเรียนการสอนแบบคละอายุ บริเวณที่โรงเรียนอยู่ในเขตชุมชนที่มีความปลอดภัยและมีสภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งสภาพแวดล้อมของโรงเรียนมีความสอดคล้องกับแนวคิดในการจัดทำหลักสูตรของผู้วิจัย
3) ขั้นแนะนำตัวและสร้างความสัมพันธ์ ผู้วิจัยแนะนำตัว ชี้แจงเกี่ยวกับการทำวิจัยต่อสถานศึกษา และสร้างความคุ้นเคยกับผู้บริหาร คณะครู นักเรียนและผู้ปกครอง โดยการทำกิจกรรมร่วมกับโรงเรียน เช่น กิจกรรมทัศนศึกษา Family trip การเข้าร่วมประชุมครูและผู้ปกครอง
1.3.2 ขั้นพัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยตามแนวคิดพุทธศาสนาและทฤษฎีพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ผู้วิจัย ผู้บริหารโรงเรียน และครูได้ดำเนินการร่วมกันพัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยตามแนวคิดทางพุทธศาสนาและทฤษฎีพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ในภาคปลาย ปีการศึกษา 2549 โดยมีขั้นตอน ดังนี้
1) จัดประชุมผู้บริหารโรงเรียน และครูระดับชั้นอนุบาลศึกษา เพื่อนำเสนอแนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐฒวัยตามแนวคิดทางพุทธศาสนาและทฤษฎีพัฒนาการและการเรียนรู้
2) จัดประชุมระดัมสมองเพื่อจัดทำมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของโรงเรียนอนุบาลบ้านฝันดี
3) จัดประชุมระดมสมองผู้บริหาร และครูระดับชั้นอนุบาลศึกษา เพื่อร่วมศึกษ แสดงความคิดเห็น วางแผน พัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยตามแนวคิดทางพุทธศาสนาและทฤษฎีพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก โดยจัดทำโครงสร้างหลักสูตร คำอธิบายมวลประสบการณ์ ประมวลการสอน หน่วยการเรียนรู้ ตลอดจนแบบประเมินผลในแต่ละหน่วยการเรียนรู้
4) ให้กรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน คือ ผศ.ดร.ชลาธิป สมาหิโต นางสาวศิริพร สัติเมทนีดล ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการศึกษาปฐมวัย และ ดร.นพเก้า ณ พัทลุง ผู้เชี่ยวชาญทางด้านหลักสูตรและการสอน ตรวจสอบดูความสอดคล้องตามแบบประเมินการออกแบบโครงสร้างหลักสูตร รายวิชา หน่วยการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยตามแนวคิดทางพุทธศาสนาและทฤษฎีพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น นำข้อคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่านมาหาค่า IOC (Index of Item Objective Congruence) ได้ค่าความสอดคล้องทุกข้อเท่ากับ 1.00 ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่านได้ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ซึ่งผู้วิจัยได้นำข้อเสนอแนะดังกล่าวไปปรับปรุงแก้ไข และจัดทำออกมาเป็นหลักสูตรเพื่อนำไปใช้
1.3.3 ขั้นนำหลักสูตรไปใช้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการ ดังนี้ คือ
1) ขั้นเตรียมการก่อนนำหลักสูตรไปใช้ ผู้วิจัย ผู้บริหารโรงเรียน และครูได้มีการเตรียมการก่อนนำหลักหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยตามแนวคิดทางพุทธศาสนาและทฤษฎีพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กไปทดลองใช้ในภาคต้น ปีการศึกษา 2550 โดยการจัดประชุมและปฐมนเทศผู้ปกครอง จัดประชุมผู้บริหารโรงเรียนและครู จัดเตรียมสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ ศึกษาข้อมูลพื้นฐานของครูและเด็ก และการจัดตารางกิจกรรมประจำวัน
2) ขั้นนำหลักสูตรไปใช้ ผู้วิจัย ผู้บริหารโรงเรียน และครูได้นำหลักสูตรไปใช้ในภาคต้น ปีการศึกษา 2550 นี้ จำนวน 1 ห้องเรียน ในระดับเตรียมอนุบาล – อนุบาล 3 จำนวนเด็กทั้งสิ้น 26 คน มีอายุระหว่าง 2.8 – 5.8 ปี (นับถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2550) โดยนำหลักสูตรไปใช้ 2 ส่วน คือ การนำหลักสูตรไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามหน่วยการเรียน และการนำหลักสูตรไปใช้ในกิจวัตรประจำวัน
2. ขั้นศึกษาผลของการใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยตามแนวคิดทางพุทธศาสนาและทฤษฎีพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก
2.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในขั้นตอนนี้ คือ
1) ผู้บริหารโรงเรียนและครูประจำชั้น รร.อนุบาลบ้านฝันดี จำนวน 4 คน
2) เด็กปฐมวัยที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาล ภาคต้น ปีการศึกษา 2550 จำนวน 26 คน
2.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในขั้นตอนนี้มีเครื่องมือวิจัย คือ
แบบสัมภาษณ์ความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน และผู้ปกครองที่มีต่อหลักสูตรในประเด็นต่าง ๆ หลังจากการนำหลักสูตรไปใช้ มีทั้งสิ้น 3 ฉบับ โดยการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ
2.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลแบ่งออกเป็น 2 ประเด็น ดังนี้
1) พัฒนาการของเด็กตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ 12 ข้อ ของโรงเรียนอนุบาลบ้านฝันดี และการคิดโยนโสมนสิการที่เกิดขั้นในเด็ก โดยพิจารณาจากผลที่ได้จากการประเมินในแบบประเมินหน่วยการเรียนรู้ทั้ง 9 หน่วยการเรียนรู้ตลอดภาคต้น ปีการศึกษา 2550 แบบสังเกตพฤติกรรมการคิดโยนโสมนสิการในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ แบบประเมินผลการทำงาน และผลงานของเด็ก และแบบบันทึกกิจวัตรประจำวัน/พฤติกรรมการเรียนการสอน
2) ความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน ครู ผู้ปกครองที่มีต่อหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยตามแนวคิดทางพุทธศาสนาและทฤษฎีพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก
ผู้วิจัยสัมภาษณ์ผู้บริหารโรงเรียน ครู และผู้ปกครองเด็กในระดับชั้นเตรียมอนุบาล – อนุบาล 3 โดยใช้การสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ หลังจากเสร็จสิ้นการนำหลักสูตรไปใช้ในภาคต้น ปีการศึกษา 2550
ทั้งนี้ผู้วิจัยได้มีการติดตามผลการใช้หลักสูตร หลังจากสิ้นสุดการนำหลักสูตรไปใช้ในภาคต้น ปีการศึกษา 2550 ผู้วิจัยติดตามผลการใช้หลักสูตรใน 2 ประเด็น คือ การบริหารจัดการของโรงเรียนและการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู โดยเข้าไปสังเกตการณ์สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ตลอดภาคปลาย ปีการศึกษา 2550
ไม่มีความเห็น