การเรียนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้เขียนเองเมื่อตอนเป็นเด็กแม่บอกว่าพอจบ ป. 6 แล้วก็ไม่ต้องเรียนแล้วแม่ไม่มีเงินส่งเรียน ก็เลยต้องหยุดเรียนอยู่สี่ปี ลุกสาวป้าเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯก็เลยขอแม่มาทำงานกับเข้าด้วย
แม่ให้เข้ามาทำงานตอนนั้นเป็นเด็กก็แล้วแต่เข้าจะใช้ให้ทำ เข้ามาแรก ๆ ก็สนุกดีเห็นแสงสีเสียงสวยงามไปหมด
ทำงานไปอยู่ปีกว่าเริ่มรู้สึกว่าแล้วเราจะทำแบบนี้ไปจนตายเลยหรือไง ประกอบกับเพื่อนแต่ละคนเข้าก็มีแฟนแยกกันไปเช่าห้องอยู่ใครอยู่มัน เราต้องอยู่คนเดียวพอดีมีเพื่อนที่เรียนภาคค่ำเห็นเข้าเรียนก็เลยขอแม่เรียน บอกแม่ว่าจะเรียนด้วยทำงานด้วย ขอเงินก้อนแรกแม่สามหมื่นบาทแม่ส่งให้ถามแม่ว่าเอามาจากไหนแม่บอกว่าขายวัวให้ห้าตัว (ขายวัวส่งควายเรียน) ที่ทำงานให้เรียนด้วยทำงานด้วยได้แต่ถ้าวันไหนไม่ได้ไปเรียนต้องทำโอทีช่วยเพื่อนด้วย เรียนไปจนจบ ปวช. ก็เลยออกจากงานที่เก่าย้ายจากทำงานรายวันไปทำงานรายเดือน ทำรายเดือนตอนตกลงกันก็บอกว่าจะให้ไปเรียนพออยู่นานไปให้เราอยู่จนกว่าจะเลิกงาน ก็ต้องทนทำถ้าไม่มีงานก็เรียนไม่จบเจ้านายบอกว่าไม่พอใจก็ออก เราจะออกได้ไงละจะเอาเงินที่ไหนไปเรียน ดีที่มีเพื่อน ๆ ไปช้าเป็นชั่วโมงเรียนไม่ทันเพื่อน เพื่อนก็จดไว้ให้ เป็นอยู่แบบนี้จน ปริญญาตรี (เป็นแบบนี้ไงถึงได้โง่แบบนี้) แม่มารับปริญญาแม่ร้องให้เลยค่ะ ถามร้องทำไมแม่ดีใจ (ดีใจต้องยิ้มสิร้องทำไมทุกวันก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกของแม่เลย) ลูกหมอก็เรียนมาเพื่อที่จะเป็นหมอ ลูกครูก็เรียนมาเพื่อที่จะเป็นครู ลูกนักการเมืองเรียนมาเพื่อที่จะเป็นนักการเมือง
ลูกตำรวจเรียนมาเพื่อที่จะมาเป็นตำรวจ แล้วลูกชาวไร่ชาวนาจะคิดมากทำไมถ้าเรามีที่นาที่พ่อแม่ทำไว้ให้เราแล้วปลูกอะไรก็เกิด อยู่ที่บ้านแม่เป็นนายจ้าง จ้างคนมาช่วยทำนาชาวนาก็เป็นนายจ้างได้ค่ะ บางที่ลูกแต่ละคนไม่รู้หรอกว่ามันอยู่ในสายเลือดเราแล้วให้หนีเท่าไรมันก็หนีไม่พ้นอยู่แล้ว ยิ่งหนียิ่งเหนื่อยใจ พอเรียนจบก็ทำงานอยู่กรุงเทพฯ สามปี ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯอยู่คนเดียวมีเงินก็ใช้คนเดียวแม่ไม่เคยขอเลย นาน ๆ จะส่งให้แม่เรื่องเงินอยากได้อะไรก็ได้ แต่ไม่มีเงินเก็บเลยจนถึงจุดอิ่มตัวสุด ๆ ก็เลยลาออกจากงานมาอยู่บ้าน
แม่ถามว่าจะมาทำอะไร ทำเกษตร (ไม่มีเงินมาเลยมีทองติดตัวมาหนึ่งบาทแต่ไม่มีหนี้ติดตัวมา) พ่อไม่เห็นด้วย
พ่อบอกว่าอายคนเรียนจบมาแล้วจะมาทำนาไม่อายคนหรือไง บอกพ่อว่าพ่อหนูทำงานอยู่กรุงเทพฯ หนูเป็นแค่ลูกจ้างเข้านะพ่อแล้วระหว่างลูกจ้างกับทำของตัวเองอะไรมันอายมากกว่ากัน แม่บอกว่าแม่มีเงินอยู่หนึ่งแสนจะทำอะไรก็ทำ เลยให้รถมาขุดบ่อ หมดไปหกหมื่นกว่าบาท ไปซื้อต้นกล้วยมาลง 800 ต้น ชาวบ้านเห็นรถมาขุดนาพากันมาดูแล้วบอกว่าลูกบ้านนี้บ้าไปแล้วปลูกกล้วยต้นแค่นี้ได้กินมันจะไปอดอยากอะไรกัน ทำไปทำมา
เงินหมดเกินงบที่ตั้งไว้เกินไปเป็นแสนส่วนที่เกินยืมเข้ามาทำ ช่วงแรกใครมาขายต้นอะไรซื้อมันทุกอย่างเลย วิชาการตอนก็ยังไม่มี ซื้อมาปลูกตายมากกว่าเกิด ทำสองคนกับแม่ทำมากไปเลยดูแลไม่หมด ปลูกแล้วรอต้นไม้โตก็เลยไปหางานทำแล้วต้องออกรถ (สร้างหนี้ให้ตัวเองต้องผ่อนรายเดือน) งานที่บ้านไม่มีประจำแต่ต้องผ่อนรถ
เป็นรายเดือนงานที่บ้านหมดก็เลยลงไปทำงานระยอง ทำได้หนึ่งปีเต็ม ๆ เพื่อนโทรไปบอกว่าเปิดบริษัทฯมาช่วยทำงานที่ลงมาช่วยเพื่อนอยู่หนึ่งปีงวดรถหมดพอดี แม่เลยให้ลงมาอยู่กับแม่ได้แล้วไม่มีงวดรถเราก็ไม่ลำบากเท่าไรแล้ว เงินที่เป็นหนี้แม่ก็ขายข้าวใช้ไปบางส่วนแล้ว ทุกวันนี้ก็เลยได้กลับมาอยู่บ้านกับแม่ ถ้าเราใช้ชีวิตไปกับกระแสมากไปเราก็ลำบาก สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้กระทบกับเราแค่คนเดียว กับคนที่รักเราและเรารักด้วย ตอนเดินถือกระเป๋าออกจากบ้านไปทำงานระยองแม่ร้อง แต่ตอนจะกลับมาอยู่บ้านแม่นั้งนับวันรอวันที่เรากลับมาหาแม่
สิ่งแรกที่เจอปัญหาจากภายนอกคือปัญหาเรื่องชุมชน เจอแรงเหวี่ยงของชุมชน เราจะทนได้มากน้อยแค่ไหน
การที่เด็กคนหนึ่งจะกลับเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ไม่ใช้ว่าให้เด็กเปลี่ยนอย่างเดียวผู้ใหญ่ในชุมชนต้องเปลี่ยนด้วย
เอาความคิดที่ว่าการเป็นเจ้าคน นายคนออกจากหัวขาว ๆ ไปบ้างถ้าไม่ให้โอกาสเด็กแล้วเด็กจะยืนอยู่ตรงไหน
เลิกเอาความคิดการเป็นทาสไปใสในหัวเด็ก ๆ ได้แล้ว ที่ชุมชนของหนูมีพวกรับจ้างสอนเต็มเลยค่ะขาดจิตสำนึก
เราเป็นปลาที่ว่ายทวนน้ำก็ต้องเจออะไรที่คนอื่นเข้าไม่เจอ ใครเจอแรงเหวี่ยงบ้างค่ะช่วยด้วยค่ะเหนื่อยมากค่ะ
ตอนที่ผมกลับมาอยู่บ้านเมื่อหลายปีก่อน ก็เจอปัญหาเหมือนกับคุณกิ่งนี่แหล่ะครับ เจอคำถามว่าเรียนจบตั้งปริญญาตรีต้องกลับมาอยู่บ้าน ไม่อายคนอื่นหรือ ? ผมต้องลงมือเองเหมือนคนบ้าอยู่ตั้งนาน กว่าชาวบ้านจะยอมรับ ทุกวันนี้ ก็สบายขึ้นครับ กลับมาพัฒนาบ้านเกิดกันเถ่อะครับ
ขอบคุณค่ะ บางที่เด็กก็เปลี่ยนแล้วแต่ผุ้ใหญ่ไม่เปลี่ยนก็แย่ค่ะ เด็กจะเดินต่อยังไงกัน