อ.ผัก
อาจารย์ พท. ศุภฤกษ์ ภมรรัตนปัญญา

พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ ความต่างในความเหมือน


พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ ความต่างในความเหมือน

พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ ความต่างในความเหมือน

พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์

ความต่างในความเหมือน

ศรัทธา : จุดร่วมของพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ที่เป็นจุดแยกจากศาสนาอื่นๆ

           ทีนี้ก็มาลองวิเคราะห์ดูในบางเรื่องบางอย่างตามหลักการพื้นฐาน  เพื่อเป็นข้อสังเกตเชิงเปรียบเทียบระหว่างพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์และศาสนาต่าง ๆ  เริ่มตั้งแต่เรื่องศรัทธาเป็นต้นไป  เพราะเมื่อกี้นี้บอกว่าในพุทธศาสนานั้นได้ย้ายจากศรัทธามาสู่ปัญญาแล้ว

           ศาสนาต่าง ๆ  นั้นเอาอารมณ์เป็นตัวนำเข้าสู่จุดหมาย (หมายถึงอารมณ์ที่ใช้กันในความหมายของภาษาไทย  ที่ตรงกับคำว่า  emotion  ไม่ใช่อารมณ์ในภาษาทางธรรมของเดิม)  เน้นเรื่องอารมณ์  ใช้อารมณ์เป็นเครื่องผลักดันให้ยอมรับและปฏิบัติตามหลักการของศาสนา  จึงต้องคอยปลุกเร้าอารมณ์ให้เกิดศรัทธา  จึงจะต้องเอาใจใส่ถือเป็นสำคัญยิ่งที่จะเร้าให้เกิดอารมณ์  หรือ  emotion  นี้  แต่พุทธศาสนาไม่เอาอารมณ์  หรือ  emotion  เป็นหลัก  เพราะมุ่งที่ตัวปัญญา

           เมื่อเอาอารมณ์  คือ  emotion  เป็นตัวนำ  ศาสนาต่าง ๆ  ก็ย่อมเน้นศรัทธา  เพราะศรัทธาเป็นจุดรวมของ emotion  หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า  เพราะขึ้นต่อศรัทธาหรือเอาศรัทธาเป็นแกน  ศาสนาต่าง ๆ  จึงต้องเน้นการปลุกเร้าอารมณ์คือ emotion  นี้  รวมความว่า  ศรัทธาเป็นหลักการสำคัญสุดยอดของศาสนาทั่ว ๆ  ไป  แต่พุทธศาสนาเน้นปัญญา  ให้ความสำคัญแก่ศรัทธาเพียงขั้นต้น  และใช้ศรัทธาด้วยความระมัดระวัง  และถือว่าปัญญาเป็นตัวตัดสินในการที่จะเข้าถึงจุดหมายคือการแก้ปัญหาของมนุษย์ได้

 

 

เพราะศรัทธา  จะฆ่าคนอื่นมากมาย หรือทำลายชีวิตของตนเองก็ได้

        อย่างไรก็ตาม  ศรัทธาก็ยังมีบทบาทสำคัญอยู่ในพุทธศาสนาบ้างเหมือนกัน  หมายความว่า  ในระบบการปฏิบัติและคำสอนของพุทธศาสนาก็ยังมีศรัทธาอยู่  แต่ศรัทธานั้นได้เปลี่ยนบทบาทไป  เปลี่ยนความสำคัญไป  เช่นเดียวกับที่ว่าในวิทยาศาสตร์ก็ยังต้องมีศรัทธาดังที่กล่าวเบื้องต้นแล้ว  นักวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยศรัทธาในการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์  ศรัทธามีบทบาทสำคัญในวิทยาศาสตร์และเป็นตัวนำผลักดันให้วิทยาศาสตร์ก้าวไปในการค้นคิด  สืบสาวหาความจริงทางวิทยาศาสตร์ต่อไปอีก

            การที่จะเข้าใจในเรื่องศรัทธาได้ชัดเจน  จะต้องแบ่งศรัทธาออกไปให้เห็นความแตกต่าง  และถ้าแบ่งคร่าว ๆ  ศรัทธาหรือความเชื่อนี้จะมี  ๒  ประเภท  ศรัทธา  ๒  ประเภทคืออะไร  ตอนนี้แบ่งอย่างง่ายที่สุด

           ศรัทธาประเภทที่ ๑  เป็น ศรัทธาแบบปิดกั้นปัญญา  ใช้วิธีปลุกเร้าหรือแม้แต่บังคับให้เชื่อ  และพอเชื่อแล้วก็ต้องมอบความไว้วางใจให้สิ้นเชิง  ห้ามถาม  ห้ามสงสัย  คอยรอทำตามฉันอย่างเดียว  ศรัทธาประเภทที่ ๑  นี้ไม่ทำให้มีการสืบค้นทางปัญญาต่อไป

            ศรัทธาในศาสนาต่าง ๆ  จะเน้นแบบนี้  คือต้องเชื่อและเมื่อเชื่อแล้วก็ต้องคอยรอทำตาม  ฉันว่าอย่างไรก็ต้องอย่างนั้น  ห้ามถาม  ห้ามสงสัย  หลักการในศาสนาแบบนี้เขาจึงเรียกว่าเป็น  dogma  คือ  สิ่งที่ต้องถือปฏิบัติตาม  ยึดมั่นโดยไม่ต้องถามหาเหตุผล  ต่างจากพุทธศาสนาที่เขาเรียกว่า  เป็นศาสนาที่ไม่มี  dogma

           ศรัทธาประเภทที่ ๒  คือ ศรัทธาแบบสื่อนำสู่ปัญญา  ศรัทธาสื่อนำสู่ปัญญาเป็นอย่างไร  คือความเชื่อนั้นเป็นตัวชักนำให้สนใจ  เริ่มต้นศึกษาสืบค้น  สิ่งทั้งหลายในโลกนี้มีมากมาย  เรายังไม่มีจุดเริ่มต้นว่าจะสนใจเรื่องใด  แต่เมื่อเกิดศรัทธาต่อบุคคลหรือเรื่องราวหลักการใด  ศรัทธานั้นก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เรามีจุดเริ่มต้น  ศรัทธาทำให้เรามีความสนใจและเข้าไปหา  โดยเฉพาะศรัทธาในคนก็เพื่อจะชักนำให้เข้าไปซักถามเขา  การที่ศรัทธาในพระก็เพื่อจะเข้าไปหาและซักถามท่าน  เพื่อให้เกิดความรู้  และเข้าใจความจริงยิ่งขึ้นไป  ถ้าเป็นศรัทธาแบบว่าเพื่อจะไปให้ท่านทำอะไรให้สักอย่างและจบเท่านั้น  ก็ไม่ใช่ศรัทธาที่นำไปสู่ปัญญา

           ศรัทธาแบบสื่อนำสู่ปัญญานี้จะเห็นตัวอย่างในกรณีของพระสารีบุตร  ก่อนที่จะหันมาสู่พระพุทธศาสนาได้เห็นพระอัสสชิเดินผ่านมา  เกิดความเลื่อมใสว่าลักษณะท่าทางของท่านแสดงว่าคงมีอะไรดี  คงมีภูมิธรรมปัญญาสูง  เกิดความอยากจะรู้อยากจะถาม  จึงเข้าไปหา  อันนั้นเป็นตัวอย่างของศรัทธาแบบนี้

           จะเห็นว่า  ศรัทธาหรือปสาทะเป็นตัวที่ทำให้ต้องการเข้าไปหาเพื่อจะได้ถามหาความรู้ต่อไป  คือเป็นแรงชักนำทำให้สนใจเข้าไปหาและเริ่มต้นสืบสาวหาความรู้ในเรื่องนั้น  พร้อมทั้งมีจุดที่จะคิดค้นอย่างจริงจัง  เพราะว่าเมื่อเราศรัทธาในเรื่องใดเราก็จะคิดค้นในเรื่องนั้นอย่างจริงจัง  เรื่องนั้นจะเป็นประเด็นหลักของเราในการคิดค้นต่อไป  เช่น  นักวิทยาศาสตร์เชื่อเรื่องอะไรว่าน่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้  แกก็จะคิดค้นยกใหญ่มุ่งแล่นไปในเรื่องนั้นเต็มที่  ทำให้ไม่ส่ายไม่พร่าในกระบวนการหาความจริง

           เป็นอันว่าเราจะต้องแยกศรัทธาให้ถูก  ศรัทธาในพุทธศาสนา  ที่เรายอมให้มีบทบาทก็คือ  ศรัทธาที่เป็นสื่อนำสู่ปัญญา  ก็เลยกลายเป็นว่าในพุทธศาสนาศรัทธาเปลี่ยนบทบาทมาเป็นตัวรอง  โดยมีหน้าที่เป็นตัวนำสู่ปัญญา  และปัญญากลายเป็นตัวเด่นขึ้นมา  จะเห็นว่าทั้งในพุทธศาสนาและในวิทยาศาสตร์ต่างก็มีศรัทธาในประเภทที่สอง  คือศรัทธาแบบสื่อนำสู่ปัญญา  และเมื่อสรุปแล้ว  ศรัทธาแบบสื่อนำสู่ปัญญานี้  มีบทบาทสำคัญทีส่งผลต่อปัญญา  ๓  ประการ  คือ

             ๑.  ทำให้สนใจเข้าไปหาและเริ่มต้นศึกษาสืบค้นในเรื่องนั้น

              ๒. ทำให้มีพลัง  เกิดความเพียรพยายาม  ตลอดจนทุ่มเทอุทิศตัวในการที่จะหาและเข้าถึง ความจริงในเรื่องนั้น

             ๓.  ทำให้มีทิศทางหรือตัวประเด็นเจาะตรงเฉพาะที่จะมุ่งแล่นเดินหน้าไป  อย่างแน่วแน่ชัดเจน

           นอกจากบทบาทและหน้าที่ของมันแล้ว  ศรัทธาที่ถูกต้องยังมีลักษณะที่เราจะต้องเข้าใจต่อไปอีก ในพุทธศาสนานั้น ถ้าเราพิจารณาดูระบบหรือกระบวนการปฏิบัติก็จะเห็นลักษณะของศรัทธานี้ชัดเจน  ลักษณะของศรัทธาในพุทธศาสนาดูได้จากหลักการสำคัญ ๆ  ดังนี้

           จุดหมายของพุทธศาสนาคืออะไร  จุดหมายของพุทธศาสนาคือวิมุตติ  ความหลุดพ้น  หรืออย่างที่เรียกปัจจุบันว่าอิสรภาพ  พุทธศาสนาต้องการให้มนุษย์ไปสู่อิสรภาพ  หลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์

           ความหลุดพ้นนี้สำเร็จได้ด้วยอะไร  ความหลุดพ้นเป็นอิสระนี้สำเร็จได้ด้วยปัญญา  คือรู้เข้าใจความจริง  รู้เท่าทันกฎธรรมชาติ  ซึ่งสาวกก็รู้ได้เหมือนอย่างองค์พระศาสดา  และไม่ต้องขึ้นต่อองค์พระศาสดา

           พระพุทธเจ้าเคยตรัสถามพระสารีบุตรว่า  “สารีบุตร  เธอเชื่อไหมว่าหลักความจริงเรื่องนั้น ๆ  เป็นอย่างนั้น ๆ  ”  พระสารีบุตรพูดตอบว่า  “ข้าพระองค์ก็เห็นว่าเป็นอย่างนั้น”  ตรัสถามต่อไปว่า “ที่เธอว่าอย่างนั้นเพราะเชื่อในเราใช่หรือไม่”  พระสารีบุตรทูลตอบว่า  “หามิได้  ที่ว่าเป็นอย่างนั้น  มิใช่เพราะข้าพระองค์ว่าตามที่เชื่อต่อพระองค์  แต่เพราะว่าข้าพระองค์ก็ได้รู้ได้เห็นประจักษ์เองว่าเป็นอย่างนั้น” ๑๖

                นี่คือหลักการในพุทธศาสนา  พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้ใครมาผูกติดอยู่กับพระองค์  หรือขึ้นต่อพระองค์เลย  แม้แต่ศรัทธาในตัวบุคคล  พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงโทษไว้  เพราะต้องการให้ทุกคนเป็นอิสระ

           เป็นอันว่า  วิมุตติ  ที่เป็นจุดหมายของพุทธศาสนา  คือความเป็นอิสระ  จะสำเร็จได้ด้วยปัญญาคือการรู้ความจริง  แต่ปัญญานั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร  สำหรับบางคนผู้มีความคิดเป็น  ที่เรียกว่า  โยนิโสมนสิการ  ก็ไม่ต้องอาศัยศรัทธา  แต่คนส่วนใหญ่  ต้องอาศัยศรัทธา  เพื่อเป็นสื่อนำ  ให้มีจุดเริ่ม

           เพราะฉะนั้นก็เลยเป็นปัจจัยที่ส่งทอดไปตามกันว่า  วิมุตติ  เป็นจุดหมายบังคับให้ต้องมีปัญญา  ปัญญาที่เป็นตัวทำให้ถึงจุดหมายอาศัย  ศรัทธา  เป็นจุดเริ่มหรือเป็นสื่อนำให้  ก็เลยเป็น ๓ ขั้นตอน  คือ

           ศรัทธา  à  ปัญญา  à  วิมุตติ

           ในกระบวนการของการเข้าถึงความจริง  ศรัทธาเป็นตัวเริ่มต้นนำเข้าสู่ปัญญา  แล้วปัญญาก็เป็นตัวนำไปสู่วิมุตติ  ระบบปัจจัยสัมพันธ์อันนี้เป็นตัวกำหนดลักษณะของศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างที่ว่าแล้ว  เพราะศรัทธาสัมพันธ์กับปัญญาและวิมุตติ  ศรัทธานั้นจึงมี

           ลักษณะที่ ๑  คือ  เป็นสื่อนำสู่ปัญญา

           ลักษณะที่ ๒  คือ  พ่วงมากับความเป็นอิสระ

           เพราะฉะนั้น  ศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงไม่เป็นศรัทธาแบบบังคับให้เชื่อ  ที่เชื่อแล้วห้ามถาม  ห้ามสงสัย  หรือเอาชีวิตของตนไปขึ้นต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะต้องถือมั่นว่าเป็นอย่างนั้น  โดยที่ถูกกำหนดมาตายตัวเสร็จสิ้นแล้ว  นี้เป็นการชี้แจงให้เข้าใจลักษณะทั่วไป

           จะเห็นว่า  ทั้งพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ต่างก็มีศรัทธาชนิดสื่อนำสู่ปัญญาที่นับได้ว่าเหมือนกัน  คือใช้ศรัทธาเป็นจุดเริ่มนำไปสู่การแสวงหาความรู้ที่จะเข้าถึงความจริง  ทีนี้  ก็มีคำถามต่อไปอีกว่า  ศรัทธาอย่างไรที่จะเป็นสื่อนำไปสู่ปัญญา  หรือว่าศรัทธาที่เป็นสื่อนำสู่ปัญญานั้นเป็นอย่างไร จึงจะต้องมีการให้คำจำกัดความศรัทธานี้อีกทีหนึ่งว่า  ศรัทธาที่เป็นตัวนำสู่ปัญญานี้คืออะไร

           ถ้าพูดโดยโยงไปหาหลักที่แสดงมาแล้วก็จะบอกว่า  ศรัทธาที่ว่านำไปสู่ปัญญานี้ก็คือความเชื่อมั่นในธรรมชาติหรือจักรวาลนี้  ว่ามีกฎเกณฑ์แห่งธรรมดาที่สม่ำเสมอแน่นอน  หมายถึงความเชื่อในกฎธรรมชาตินั่นเอง  พูดง่าย ๆ  ว่า  ความเชื่อในกฎธรรมชาติที่มนุษย์จะสามารถเข้าถึงได้ด้วยปัญญา

           ความเชื่อหรือศรัทธานี้  เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราแสวงหาความจริง  แต่เพราะว่าตัวตัดสินหมายถึงการที่เราจะต้องรู้เข้าใจกฎธรรมชาติ  ศรัทธาจึงไม่เพียงพอที่จะเข้าถึงจุดหมาย  จึงหยุดอยู่แค่ศรัทธาไม่ได้  ศรัทธานั้น  จึงต้องโยงส่งทอดต่อไปสู่ปัญญา  พอมาถึงตอนนี้ก็เหมือนกับว่าศรัทธาของพุทธศาสนากับศรัทธาของวิทยาศาสตร์เหมือนกัน  คือต่างก็มีศรัทธาที่เชื่อในกฎธรรมชาติ  และต่างก็มุ่งที่จะรู้ความจริงในกฎธรรมชาติด้วยวิธีการแห่งปัญญา  แต่ความเหมือนหรือคล้ายกันนั้น  อาจหยุดแค่นั้น  ต่อจากจุดนี้ไปศรัทธาของพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ดูท่าว่าจะแยกจากกัน  จะแยกกันอย่างไร      

นำมาจาก http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/budddhist/chap4/chap4-1.htm

หมายเลขบันทึก: 368207เขียนเมื่อ 21 มิถุนายน 2010 03:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2012 13:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท