เหินฟ้า


วัวหายล้อมคอก

ในช่วงที่ฉันอยู่ประมาณ ม.1  ฉันขี่มอเตอร์ไซด์ไปเรียนพิเศษกับน้อง ตอนขากลับเกิดฝนตก ทำให้เส้นทางเข้าบ้านเละไปหมด ก่อนที่ฉันจะเข้าบ้านนั้น ฉันต้องขี่ข้ามสะพานก่อนที่จะเข้าไปในบ้าน สะพานที่บ้านก็เป็นสะพานไม้ไม่มีอะไรกั้น  เมื่อฉันจะขี่รถขึ้นสะพานปรากฏว่าในครั้งแรกฉันขี่ขึ้นไปกับน้อง แต่เนื่องจากตรงคอสะพานเป็นต่างระดับเล็กน้อย ทำให้ขี่ขึ้นไปสองคนไม่ได้ลื่นตลอดเวลาบวกกับล้อก็มีดินติดอยู่ทำให้ลื่นไปใหญ่ ฉันจึงบอกให้น้องลงไปก่อน เดี๋ยวพี่ขับขึ้นไปเอง ฉันก็ถอยหลังไปตั้งหลักเล็กน้อยแล้วบิดเต็มที ปรากฏว่าล้อหน้าเกิดการสไลด์ตรงคอสะพานซึ่งไม้มีตะไคร่เกาะอยู่ ทำให้รถพุ่งออกด้านข้าง (ถ้าจะให้เห็นภาพก็คล้ายรถมอเตอร์ครอสขี่ขึ้นเนินนั้นแหละ)

 ก็คิดดูแล้วกันฉันบิดมาเต็มทีเลย แล้วรถมันก็พุ่งออกไปอย่างนั้น ไม่อยากจะบอกเลยว่าหัวใจฉันหายไปอยู่ไหนแล้วไม่รู้ ทั้งรถทั้งคนตกลงไปพร้อมๆกัน พอโผจากน้ำได้ฉันตาลีตาเหลือกรีบหนีขึ้นจากน้ำทันที (ในใจก็คิดถึงหนังที่เราเคยดู ทันทีที่รถตกลงไปในน้ำที่ไรมันจะต้องระเบิดทุกที) ช่วงที่กำลังตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำก็เห็นควันลอยขึ้นมาจากน้ำ มีฟองอาการเม็ดใหญ่ผุดขึ้นมา (โอ๊ยด้วยมันต้องระเบิดแน่ๆเลย หนีออกไปไกลๆดีกว่า) ฉันก็บอกน้องให้ออกมาห่าง แล้วให้น้องไปบอกพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้าน (ตัวบ้านห่างกับสะพานประมาณ 50 เมตร) ตอนนั้นฉันทำอะไรไม่ถูกเลย กลัวก็กลัว ไหนจะกลัวว่าพ่อกับแม่จะว่าเราไหม แล้วรถจะพังหรือเปล่า น้ำตาเนี่ยคลอเบ้าเลย อยากจะร้องให้โฮออกมาให้มันหายกลัว หายตื่นเต้น สักพักพ่อกับแม่และญาติๆ ก็วิ่งกันออกมาหน้าตาตื่น พ่อมองหน้าฉันแล้วถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่าลูก  เขาคงมองหน้าฉันแล้วก็คงคิดว่าลูกยังตกใจอยู่ ฉันก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หนูไม่เป็นไรแต่รถมันจะระเบิดหรือเปล่าพ่อ พ่อก็หัวเราะฉันใหญ่  แล้วก็บอกว่า มันไม่ระเบิดหรอกลูก เดี๋ยวก็ช่วยกันยกขึ้นมา สงสัยต้องซ่อมครั้งใหญ่ เพราะเล่นเอารถไปแช่น้ำอย่างนี้ พวกผู้ใหญ่ก็คุยและหัวเราะกัน และถามฉันว่าขี่รถยังไงฮะ ขี่ลงไปในน้ำ ฉันไม่มีอารมณ์อยากจะตอบ อยากจะร้องไห้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แล้วฉันก็เดินเข้าไปในบ้านแต่ในใจยังคงตื่นเต้นและตกใจไม่หาย หลังจากนั้นอีก 2-3 วัน คุณตาก็สั่งให้ช่างมาทำสะพานใหม่ โดยครั้งนี้ได้ทำที่กั้นข้างสะพาน เพราะกลัวว่าหลานจะขี่เหินฟ้าเป็นครั้งที่สอง

เหตุการณ์ครั้งนี้ก็เปรียบกับสุภาษิตไทยที่ว่า “วัวหายล้อมคอก” ฉันนี้แหละรู้ซึ่งถึงคำสุภาษิตนี้จริงๆ

หมายเลขบันทึก: 367836เขียนเมื่อ 19 มิถุนายน 2010 20:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:05 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท