วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 20:30:01 น. มติชนออนไลน์
โรงเรียนไทยต้องมาตรฐานสากล?
โดย สายพิน
แก้วงามประเสริฐ
กระทรวงศึกษาธิการคัดเลือกโรงเรียนทั่วประเทศ 500 โรงเรียน ประกอบด้วยโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา 381 โรงเรียน ระดับประถมศึกษา 119 โรงเรียน เพื่อส่งเสริมให้เป็นโรงเรียนมาตรฐานสากล (World-Class Standard School) โดยจัดหลักสูตรการเรียนการสอนเทียบเคียงมาตรฐานสากล ระยะดำเนินโครงการตั้งแต่ พ.ศ.2553-2555
โรงเรียนมาตรฐานสากลมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีศักยภาพเป็นพลโลก (World
Citizen) เป็นเลิศทางวิชาการ สื่อสาร 2 ภาษา ล้ำหน้าทางความคิด
ผลิตผลงานอย่างสร้างสรรค์ ร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมโลก
ยกระดับการจัดการเรียนการสอนเทียบเคียงมาตรฐานสากล
ด้วยการกำหนดรายวิชาเพิ่มเติมที่มีความเป็นสากล ได้แก่ ทฤษฎีความรู้
(Theory of Knowledge : TOK) การเขียนความเรียงชั้นสูง
(Extended-Essey) กิจกรรมโครงงานเพื่อสาธารณประโยชน์ (CAS :
Creativity, Actions, Service) และวิชาโลกศึกษา (Global
Education)
นอกจากนี้ยังต้องพัฒนาการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์
โดยการใช้ภาษาอังกฤษภายในปี 2555
และจัดการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศอีกภาษาหนึ่งเป็นภาษาที่สอง
ในบรรดาโรงเรียนมาตรฐานสากลนอกจากโรงเรียนที่อยู่ในกรุงเทพฯแล้ว
โรงเรียนส่วนใหญ่อยู่ตามต่างจังหวัด ทั้งในระดับจังหวัด
และระดับอำเภอที่กระทรวงศึกษาธิการเห็นว่ามีความพร้อมในการจัดการศึกษา
โรงเรียนมาตรฐานสากลเป็นนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการสมัยรัฐมนตรีคนที่ผ่านมา
ที่มองเห็นว่าโรงเรียนในประเทศไทยไม่ได้มาตราฐานสากล
จึงต้องการยกระดับคุณภาพการศึกษาของไทยให้มีความเป็นสากล
ด้วยความพยายามจะจัดหลักสูตรการเรียนการสอน
การกำหนดวิชาเพิ่มเติมที่จะเรียน การเรียนภาษาต่างประเทศที่สอง
และการเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ด้วยภาษาอังกฤษ!!
การเปลี่ยนระบบการเรียนแบบโน่นนี่ทำให้เกิดความสงสัยว่า
เราต้องการให้เด็กไทยเรียนแบบสากลไปถึงไหน แล้วหากเรียนแบบไทยๆ
จะเป็นอย่างไร? แล้วพอประกาศนโยบายปั๊บก็เริ่มกันเลยหรืออย่างไร
อย่างมากก็ให้บุคลากรของแต่ละโรงเรียนไม่กี่คนไปประชุมสักสองครั้งสามครั้ง
แล้วก็มาถ่ายทอดอะไรนิดหน่อย
พร้อมทั้งประกาศว่าโรงเรียนมาตรฐานสากลกันแล้ว
นับแต่นั้นโรงเรียน 500 โรงเรียนก็เป็นมาตรฐานสากลกันเลย?
วิชาเพิ่มเติมที่จะเรียนวิชาแรกคือ ทฤษฎีความรู้ (Theory of
Knowledge) หรือวิชา TOK เห็นแค่ชื่อวิชาทั้งคนเรียนคนสอนงงไปตามๆ
กัน
ซึ่ง ดร.เฉลิม ฟักอ่อน ได้อธิบายพอจับประเด็นได้ว่าวิชา TOK คือ
วิชาการเกิดความรู้ของแต่ละบุคคล
โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนศึกษาวิธีการหาความรู้
การอธิบายความรู้ของแต่ละบุคคล
การศึกษาปัญหาที่น่าสนใจเกี่ยวกับความรู้ และการตรวจสอบความรู้ เช่น
การตั้งคำถามกับวิชาประวัติศาสตร์ว่าเพราะเหตุใดเราจึงต้องมีความรู้ด้านประวัติศาสตร์
นำไปใช้ในชีวิตได้อย่างไร
และต้องให้เหตุผลได้ว่าเพราะเหตุใดจึงต้องมีการตรวจสอบองค์ความรู้ที่ตนเองมีอย่างมีหลักเกณฑ์
เป็นไปได้หรือไม่ มีตรรกะ (Logic) หรือเป็นการรับรู้ด้วยความรู้สึก
ความเชื่อ ความศรัทธา เป็นต้น
วิชา TOK
ไม่ใช่แค่วิชาที่ฝึกให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์คิดวิจารณญาณต่อเรื่องราวใดๆ
ปรากฏการณ์ใดๆ
ที่เป็นกรณีศึกษาที่เป็นตัวอย่างในชีวิตประจำแบบธรรมดาสามัญหรือพื้นๆ
เท่านั้น
แต่วิชา TOK เป็นวิชาขั้นเทพเลยทีเดียว
เพราะนอกจากผู้เรียนจะศึกษาค้นคว้าจนสามารถสรุปองค์ความรู้เรื่องราวใดๆ
ได้แล้ว
ผู้เรียนยังต้องรู้ที่มาที่ไปของความคิดของตนเองด้วยว่าองค์ความรู้ที่ตนเองได้มานั้นเกิดจากอะไร
เช่น เกิดจากความเชื่อความศรัทธา การจดจำ การหยั่งรู้ หรืออื่นๆ
รวมทั้งต้องมีการตรวจสอบความจริงความถูกต้องของความรู้ที่ได้รับ
ในการประเมินผลวิชา TOK ผู้เรียนต้องนำเสนอผลงานการศึกษา
ที่มีการวางแผนการทำงาน และทำงานตามเป้าหมายที่กำหนด
ส่วนหัวข้อเรื่องที่จะศึกษาต้องสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่ผู้เรียนสนใจ
โดยมีการประเมินสองส่วนคือ ส่วนที่หนึ่ง
ประเมินผลงานการเขียนหรือรายงานการศึกษา ที่เนื้อหาสาระต้องถูก
ต้องมีเหตุผล มีหลักการทฤษฎีรองรับ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ
มีการนำเสนอที่เปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความคิดเห็นได้
นอกจากนี้ในการนำเสนอผลงาน
ผู้เรียนต้องแสดงให้เห็นว่าเรื่องที่ตนศึกษามีความสำคัญอย่างไร
เกี่ยวข้องกับความรู้ต่างๆ อย่างไร ในการนำเสนอให้นำเสนอได้หลายแบบ
แต่ห้ามอ่านเอกสารให้ฟัง
แค่วิชา TOK วิชาเดียวกว่าเด็กจะคิดประเด็นหรือเรื่องที่จะศึกษาได้
ไปจนถึงขั้นนำเสนอผลงานที่ห้ามอ่านให้เพื่อนและครูฟัง
แล้วยังต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหลากหลาย
ปัญหาคือ
แค่การคิดวิเคราะห์ธรรมดาให้บรรลุเป้าหมายกันอย่างถ้วนหน้าก็ดีถามไปแล้ว
เพราะไม่รู้ว่าครูเองจะ TOK กันได้แค่ไหน
การเตรียมการฝึกฝนครูก็ยังไม่ได้ทำเลย ระดับรัฐมนตรีอภิปรายตอบในสภา
ความคิดยังไม่แล่น เห็นยืนอ่านโพยกันอยู่เลย
แล้วจะให้เด็กประถม มัธยม เรียนวิชา TOK
ได้แบบมาตรฐานสากล!!
วิชาต่อมาการเขียนความเรียงชั้นสูง (Extended-Essey)
ชื่อก็บอกแล้วว่าขั้นสูง ดังนั้น จึงไม่ใช่วิชาเขียนเรียงความ
ประมาณว่าคล้ายการเขียนรายงาน 5 บท สอนกันตั้งแต่การเขียนชื่อเรื่อง
การเขียนบทคัดย่อ การเขียนกิตติกรรมประกาศ การเขียนสารบัญ
การกำหนดประเด็นปัญหา การเขียนข้อมูลสารสนเทศ
การนำเสนอข้อมูลเป็นลำดับขั้นตอน น่าเชื่อถือ การเขียนแผนที่ แผนภูมิ
ภาพประกอบ วิธีการอ้างอิงถ้อยคำ ความคิดเห็น การเขียนบทสรุป
และการอ้างอิงบรรณานุกรม
ดูๆ แล้วน้องๆ การเขียนงานวิจัย 5 บทเลยทีเดียว
นี่โรงเรียนมาตรฐานสากล ผู้เรียนต้องทำได้ถึงขั้นนี้เชียวหรือ
ขนาดครูที่ทำผลงานทางวิชาการแล้วต้องเขียนรายงาน 5 บท
ขณะที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนมาก่อนยังแทบแย่
แล้วจะให้ถึงขั้นสอนให้ผู้เรียนต้องเขียนได้
นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นเด็กประถม มัธยม
นึกว่าเรียนมหาวิทยาลัยหรือกำลังทำวิทยานิพนธ์อยู่นะนี่!!
วิชาที่สาม วิชาโลกศึกษา (Global Education)
เรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์โลก เรียนรู้เกี่ยวกับความคิด (Concept)
และเนื้อหาของทุกสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับโลก
โดยมีเรื่องที่ต้องจัดการเรียนการสอน เช่น การเป็นพลโลก
การแก้ปัญหาความขัดแย้ง ความเป็นธรรมทางสังคม สิทธิมนุษยชน
ความหลากหลาย เป็นต้น
วิชาโลกศึกษานี่จะสอนกันยังไง? การแก้ปัญหาความขัดแย้ง
หลักสูตรบอกว่าให้เห็นความสำคัญของการเจรจาประนีประนอม
การเคารพและเอื้ออาทร เรื่องต่อมา ความเป็นธรรมทางสังคม
ให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของความเป็นธรรมทางสังคม
ว่าเป็นรากฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน...
รู้จักผลกระทบของอำนาจที่ไม่เสมอภาค
และเห็นคุณค่าของการมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน
อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องสิทธิมนุษยชน
เพื่อให้ผู้เรียนตระหนักและเข้าใจว่าสิทธิมนุษยชนเป็นกรอบในการแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในสังคม
และตระหนักในสิทธิมนุษยชน
แล้วเรื่องนี้จะสอนกันอย่างไรดี เพราะเห็นๆ
กันจะจะว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นในประเทศนี้โดยมิอาจปฏิเสธได้
อีกทั้งหากจะต้องสอนเรื่ององค์กรสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยก็สอนลำบาก
เพราะจะบอกผู้เรียนว่าประเทศนี้ไม่มีองค์กรนี้ก็ไม่ใช่
คงบอกได้แต่เพียงว่ามี แต่บทบาทยังสับสนมั้ง!!
เรื่องสุดท้ายที่จะยกตัวอย่าง เรื่องความหลากหลาย
เน้นให้ผู้เรียนยอมรับความแตกต่างของมนุษย์ในบริบทสิทธิมนุษยชน
ในขณะที่สังคมไทยเห็นคนที่มีความคิดต่างเป็นศัตรู ด้อยค่ากว่าตน
หรือมีการใช้คำเรียกผู้อื่นที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมด้อยกว่า
ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ที่เห็นเกลื่อนกลาดตามอินเตอร์เน็ต
เหมือนไม่มีใครอบรมสั่งสอน ในเมื่อสังคมไม่เป็นตัวอย่างที่ดี
แล้วจะให้สอนเรื่องนี้กันอย่างไร?
โดยภาพรวมแล้ววิชาโลกศึกษา เป็นวิชาที่ฝึกกระบวนการคิดให้กับผู้เรียน
ให้มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน
รู้จักการแก้ไขความขัดแย้งด้วยความเข้าใจ
ตลอดจนตระหนักถึงความสำคัญของเท่าเทียมและความเป็นธรรมในสังคม
วิชานี้หากเรียนกันอย่างจริงจังน่าจะเป็นวิชาที่สนุก
สามารถนำความรู้รอบตัวข้อมูลข่าวสารมาเป็นกรณีศึกษา
เพื่อฝึกให้ผู้เรียนมีความคิดอย่างหลากหลายได้
แต่ที่น่ากังวลใจคือ ผู้ใหญ่ควรทำตัวเป็นแบบอย่าง
และกรุณาสร้างสรรค์บริบททางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยแบบสากลนิยมหน่อย
เพื่อให้สื่อการสอนจากชีวิตจริงมีคุณค่าเหมาะแก่การเรียนรู้ของผู้เรียน
เป้าหมายของโรงเรียนมาตรฐานสากลอีกประการหนึ่งคือ
การจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เป็นภาษาอังกฤษ
แม้จะมีโครงการที่จะจัดครูวิทยาศาสตร์ไปอบรมภาษาอังกฤษโรงเรียนละ 6 คน
ครูคณิตศาสตร์โรงเรียนละ 3 คนก็ตามที
แต่ปัญหาคือ ครูที่สอนทั้งสองวิชานี้ส่วนใหญ่ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ
เพราะฉะนั้นการส่งไปอบรมแค่ไม่กี่วัน
อีกทั้งศัพท์ทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ก็เป็นศัพท์เฉพาะ
แล้วจะให้สอนเป็นภาษาอังกฤษได้เลยนั้นเป็นเรื่องยาก
เพราะหากครูเหล่านี้เก่งภาษาคงไม่มาเรียนวิชาที่ยากเช่น วิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์
ในขณะเดียวกันหากถามผู้เรียนว่ามีความรู้สึกอย่างไรกับสองวิชานี้
นักเรียนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นวิชาที่ยาก โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์
ผู้เรียนที่เรียนได้ดีต้องมีความสามารถเฉพาะตัว
ซึ่งเกี่ยวข้องกับสมองซีกซ้ายซีกขวาที่ทำให้ผู้เรียนมีความถนัดต่างกัน
ความยากของวิชาพิจารณาได้จากผลการสอบโอเน็ต ปีการศึกษา 2552
คะแนนสอบโอเน็ตของนักเรียนชั้น ป.6 ที่ขณะนี้เป็นนักเรียนชั้น ม.1
มีคะแนนเฉลี่ยทั้งวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ไม่ถึง 40 คะแนน
จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ส่วนระดับชั้น ม.3 ซึ่งขณะนี้เป็นนักเรียนชั้น
ม.4 มีคะแนนเฉลี่ยทั้งสองวิชาไม่ถึง 30 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน
แสดงให้เห็นว่าวิชาทั้งสองยากจริง
หากพิจารณาคะแนนเฉลี่ยวิชาภาษาอังกฤษที่จะเป็นพื้นฐานไปสู่การเรียนในโรงเรียนมาตรฐานสากลแล้ว
พบว่าคะแนนเฉลี่ยวิชาภาษาอังกฤษคะแนนยิ่งต่ำเข้าไปใหญ่ ชั้น ป.6
นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยวิชานี้ 31.75 ชั้น ม.3 นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย
22.54 จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ซึ่งถือว่าคะแนนต่ำมาก
แสดงว่านักเรียนมีความรู้พื้นฐานวิชาภาษาอังกฤษอยู่ในระดับที่ต้องปรับปรุงกันทีเดียว
หากเป็นดังนี้เมื่อยังไม่ได้ปรับปรุงความรู้พื้นฐานด้านภาษาอังกฤษให้กับนักเรียน
จนมีผลน่าพึงพอใจแล้ว ครั้นจะให้นักเรียนต้องเรียนวิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์ เป็นภาษาอังกฤษแล้ว
ผลคะแนนของสองวิชานี้น่าจะต่ำไปยิ่งกว่าเดิม
ลำพังครูสอนด้วยภาษาไทยที่พยายามสอนให้เข้าใจง่าย
ผู้เรียนยังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง หากต้องสอนเป็นภาษาอังกฤษ
ทั้งครูทั้งเด็กคงมีผลสัมฤทธิ์การเรียนการสอนต่ำไปตามๆ กัน
นอกจากนักเรียนจะรู้สึกว่าวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ยากแล้ว
นักเรียนอีกส่วนหนึ่งยังเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้วยความเครียด วิตกกังวล
ซึ่งผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Experimental
Psychology: General โดย Mark H. Ashcraft และ Eliazbeth P Kirk แห่ง
Cleveland (Ohio) State University พบว่าความวิตกกังวล
ตลอดจนความประหวั่นพรั่นพรึงต่อวิชาคณิตศาสตร์
จะไปรบกวนสมาธิและการทำงานของสมอง
ทำให้เรียนคณิตศาสตร์ได้ไม่ดี
เมื่อความเครียดมีผลทำให้เรียนวิชาคณิตสตร์ได้ไม่ดีแล้ว
การให้ผู้เรียนวิชานี้เป็นภาษาอังกฤษ
ในขณะที่พื้นฐานความรู้ด้านภาษาอังกฤษก็ต่ำ
จะยิ่งทำให้นักเรียนเกิดความเครียดมากขึ้น
ผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์จะไม่ต่ำไปกว่าเดิมอีก?
โรงเรียนมาตรฐานสากลหากไม่นับเฉพาะโรงเรียนในกรุงเทพฯแล้ว
โรงเรียนหลายร้อยโรงเรียนอยู่ในต่างจังหวัด
ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนระดับอำเภอ ระดับชั้นหนึ่งๆ มีนักเรียนประมาณ
500-600 คน ที่มาจากทั้งหลายพื้นฐานโรงเรียน ครอบครัว
การเรียนเก่งอ่อนต่างกัน มีนักเรียนที่เรียนอยู่ในระดับดีไม่น่าเกิน
20% ที่เหลือเป็นปานกลาง และอ่อน
ซึ่งหากพิจารณาพื้นฐานวิชาภาษาอังกฤษอยู่ในระดับที่ไม่ดีเป็นส่วนใหญ่
อีกทั้งหากพิจารณาตามความเป็นจริงของชีวิต เด็กๆ
เหล่านี้ต้องถึงขั้นเรียนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
เป็นภาษาอังกฤษเชียวหรือ
ความจำเป็นในการนำไปใช้ในการเรียนระดับสูงมีมากน้อยเพียงใด
หากครูสอนวิทยาศาสตร์เพิ่มมากขึ้นจริง?
แล้วเรียนด้วยวิธีแบบนี้จะเป็นการแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนตกต่ำได้จริง?
การเรียนภาษาต่างประเทศให้เก่งเป็นความจำเป็น
และช่วยเสริมความก้าวหน้าด้านการเรียนเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น
แทนที่จะเน้นสอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ให้เป็นภาษาอังกฤษ
กระทรวงศึกษาธิการน่าจะส่งเสริมพัฒนาการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะให้เด็กเก่งก่อน
ให้ผลการเรียนการสอบระดับชาติได้คะแนนสูงขึ้น จนถึงขั้นมาตรฐานก่อน
แล้วจึงค่อยมาขยายผลต่อการเรียนวิชาอื่นๆ ด้วยภาษาอังกฤษ
กี่สิบปีมาแล้วที่ระบบการศึกษาของไทยวิ่งตามประเทศนั้นประเทศนี้
ระบบประเทศนี้ดีก็ตามเขาไป ใช้ไม่ได้ผลก็เปลี่ยนใหม่
การศึกษาของไทยจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ตลอดเวลาว่าไม่ประสบความสำเร็จเพราะการลองผิดลองถูกอยู่ร่ำไป
การศึกษาของไทยไม่จำเป็นต้องวิ่งตามคนอื่น
แค่เน้นสอนให้เด็กมีความเข้าใจ คิดวิเคราะห์เป็น
เน้นความมีคุณธรรมจริยธรรมในเรื่องความมีเมตตา มีน้ำใจ
ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้ที่ด้อยกว่าตน
มีความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ในฐานะเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันแล้ว
แค่นี้ก็ต้องถือว่าการศึกษาไทยมีมาตรฐานแล้ว
ไม่ต้องถึงขั้นสู่มาตรฐานสากลเพียงแค่เก่งภาษาอังกฤษ
แต่ขาดความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์!!
ท่านอาจารย์สายพิณ ที่เคารพครับ
ผมเห็นด้วยกับแนวคิดท่านหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องโรงเรียนไทยต้องได้มาตรฐานสากล รัฐมักจะมองไปข้างหน้า ไม่ค่อยมองปัญหาพื้นฐาน และเอกลักษณ์ของคนไทย และวัฒนธรรมไทย การคิดจึงไม่มุ่งหน้าที่จะเอาชาติอื่นมาเป็นแนวทาง และล่าสุด ผมอ่านทางมติชน เรื่อง e-Training :ครูเครียดทั้งระบบ ผมเห็นด้วยมากๆเลย ผมว่า ศธ. หรือ สพฐ.คิดเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง น่าจะยกเลิกได้แล้ว ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่จะต้องพัฒนาครู ควรดึงจิตวิญญาณ ความมุ่งมั่น ในการพัฒนาตนเองกลับมาจะได้ประโยชน์กว่า ขอสนับสนุนบทความ และนำเสนอบ่อยๆนะครับ ผมจะตัดไว้ และนำไปใช้ประโยชน์ในการสอน และเป็นวิทยากรต่อไป ขอคุณครับ
Dr.Pet K
ขอบคุณค่ะ อาจารย์ที่แสดงความคิดเห็น ทำให้มีกำลังใจในการเขียนบทความมากขึ้นค่ะ