หลักธรรมสำคัญของศาสนาอิสลาม
หลักศรัทธา 6
หลักศรัทธาหรือหลักความเชื่อ
คือหลักคำสอนที่มุสลิมทุกคนจะต้องเชื่อว่าเป็นความจริงแท้และต้องยึดถืออย่างมั่นคงแม้จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยผัสสะทั้ง 5 ก็ตาม หลักศรัทธามี 6 ประการคือ
1. ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ
คือ ต้องเชื่อมั่นว่าพระเจ้ามีจริง พระนามของพระเจ้าในภาษาอาหรับคือ อัลลอฮฺ ในภาษาอื่นอาจเรียกอย่างอื่นแต่ก็เป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน มุสลิมต้องศรัทธาในอัลลอฮฺว่าเป็นพระเจ้าองค์เดียวและเป็นผู้ทรงคุณลักษณะดังนี้
- ทรงเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพ
- ทรงเป็นผู้มีอยู่ตลอดกาล ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ
- ทรงดำรงอยู่เอง ไม่มีใครสร้างพระองค์
- ทรงสรรพเดช สัพพัญญู
- ทรงความยุติธรรม ทรงพระเมตตา
- ทรงเป็นผู้พิพากษาในการตัดสอนชีวิตมนุษย์ในวันสุดท้ายที่เรียกว่าวันพิพากษา
ศรัทธาที่แท้จริงของมุสลิมต่ออัลลอฮฺนั้นหมายถึงการถวายทั้งกายและใจให้แก่พระองค์การปฏิบัติ ผิดไปจากนี้ เช่น การยอมรับนับถือพระเจ้าองค์อื่นด้วย หรือการนับถือสิ่งอื่นใดเทียบเท่าพระองค์ถือว่าเป็นบาปมหันต์ที่มิอาจยกโทษให้ได้ มุสลิมที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺอย่างแท้จริงจะทำให้เขาละเว้นจาการทำชั่ว ทำแต่ความดี มีพลังใจที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆไม่ว่าจะดีหรือร้สย การศรัทธาต่ออัลลอฮฺจึงเป็นหัวใจของการเป็นมุสลิม
2. ศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะห์หรือเทวทูต
มลาอิกะห์มีจำนวนมากมายสุดจะประมาณได้ ทำหน้าที่สนองพระราชบัญชาอัลลอฮฺแตกต่างกัน คุณลักษณะของมลาอิกะห์มีดังนี้
- เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺสร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่ต่างๆตามที่พระองค์กำหนด
- ไม่ต้องการหลับนอน
- จำแลงเป็นรูปต่างๆได้
- ไม่มีบิดามารดา บุตร ภรรยา
- ปฏิบัติแต่คุณธรรมล้วนๆ
- ไม่ละเมิดฝ่าฝืนบัญชาของอัลลอฮฺเลย
- ไม่กิน ดื่ม ขับถ่าย ไม่มีกิเลสตัณหา
ผู้ที่จะเป็นมุสลิมอย่างสมบูรณ์ได้ต้องศรัทธาว่าเทวทูตเหล่านี้มีจริง อันจะเป็นผลดีแก่ผู้ศรัทธาเอง คือจะทำให้เขาทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว เพราะแต่ละคนมีเทวทูตคอยบันทึกความดีความชั่วอยู่ตลอดเวลา
1.3 ศรัทธาต่อบรรดาพระคัมภีร์
คัมภีร์ที่ว่านี้หมายถึงคัมภีร์จำนวน 104 เล่มที่อัลลอฮฺได้ประทานแก่เหล่าศาสนทูตของพระองค์ เพื่อนำมาประกาศเผยแพร่แก่ปวงประชาชาติให้หันห่างออกจากความมืดมนไปสู่ทางอันสว่างไสวและเที่ยงตรง คัมภีร์ที่สำคัญมีอยู่ 4 คัมภีร์คือ
1.3.1. คัมภีร์โตราห์หรือเตารอต(Torah)ประทานแก่นบีมูซาหรือโมเสส(Moses)เป็นภาษาฮีบรู
1.3.2 คัมภีร์ซะบูร์(Zaboor)ประทานแก่นบีดาวูดหรือดาวิด(David)เป็นภาษาอียิปต์โบราณ
1.3.3 คัมภีร์อินญีล(Injeel or Gospel)ประทานแก่นบีอีซาหรือเยซู(Jesus)เป็นภาษาซีเรียโบราณ
1.3.4 คัมภีร์อัล-กุรอาน(Al-Quran)ประทานแก่นบีมุฮำมัด(Muhammad) เป็นภาษาอาหรับ อัล-กุรอานเป็นคัมภีร์ฉบับสุดท้ายที่สมบูรณ์ที่สุดและมุสลิมเชื่อว่าท่านนบีมฮำมัดเป็นนบีคนสุดท้าย
คัมภีร์ต่างๆทั้งหมดนี้สรุปคำสอนได้เป็น 2 ประการคือ
1. สอนถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
2. สอนถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน
1.4 ศรัทธาต่อบรรดารอซู้ลหรือศาสนทูต
มุสลิมจะต้องศรัทธาว่าพระเจ้าทรงเลือกบุคคลในหมู่มนุษยชาติให้เป็นผู้สื่อสาร นำบทบัญญัติของพระองค์มาสั่งสอนแก่มวลมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ศาสนทูตเป็นผู้ที่มีศักดิ์ศรีเหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลาย ศาสนทูตที่คัมภีร์อัล-กุรอานได้กล่าวไว้มี 25 ท่าน
คุณสมบัติของศาสนทูต 4 ประการคือ
1.4.1 ศิดกุน คือ วาจาสัตย์ ไม่พูดเท็จ
1.4.2 อะมานะฮ์ คือ ไว้วางใจได้ ซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทำความชั่วฝ่าฝืนบทบัญญัติของอัลลอฮฺ
1.4.3 ตับลิค คือ นำศาสนามาเผยแพร่แก่มนุษย์โดยทั่วถึงไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
1.4.4 ฟะตอนะฮ์ คือ เฉลียวฉลาด
1.5 ศรัทธาต่อวันสิ้นโลก
มุสลิมต้องศรัทธาว่าโลกนี้เป็นโลกที่ไม่จีรังยั่งยืน จะต้องมีวันแตกสลาย เมื่อถึงวันนั้นมนุษย์ทั้งหมดจะต้องไปรวม ณ ที่ของอัลลอฮฺเพื่อการสอบสวนและการตอบแทนวันสิ้นโลกหรือวันอวสาน เป็นวันที่โลกพินาศ เป็นวันที่อึกทึกครึกโครมที่สุด วันแห่งความปั่นป่วนจลาจล สับสนอลหม่าน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสิ่งสร้างของอัลลออฺจะต้องสูญสลายสิ้น ก่อนจะถึงวันนั้นจะมีนิมิตร้ายต่างๆเกิดขึ้นก่อนเป็นการเตือน เช่น คนจะละทิ้งศาสนา เกิดสงครามใหญ่ ดินฟ้าอากาศวิปริต ฯลฯ เมื่อโลกจะพินาศ อิสรอฟิลจะส่งศัพท์สัญญาณมหาวิบัติโดยการแผดเสียงกัมปนาท ซึ่งทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างพินาศหมดสิ้น ครั้นเมื่อฮิสรอฟิลประกาศศัพท์สัญญาณมหาอุบัติอีกวาระหนึ่ง ทุกชีวิตที่ตายลงแล้วในแต่ละยุคตั้งแต่บรรพกาลจนถึงขณะนั้น จะถูกบรรจุชีพให้ฟื้นขึ้นมาอีก แล้วไปรวม ณ ที่แห่งหนึ่งเพื่อรอการพิพากษาจากพระผู้เป็นเจ้า ซึ่จะพิพากษาตามกรรมชั่วที่ทำไว้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ในโลก จะได้รับผลตอบแทนในปรภพ คือ ผู้ทำดีจะได้เข้าสวรรค์ ผู้ทำชั่วจะเข้าสู่นรก สำหรับปรโลกเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะมีอยู่ตลอดไป มนุษย์และสรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้วจะคงอยู่ตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์
1.6 ศรัทธาต่อกฎกำหนดสภาวการณ์
กฎกำหนดสภาวการณ์ เป็นกฎที่ควบคุมเอกภพหรือธรรมชาติทั้งหมด ทั้งนี้เพราะเมื่อพระเจ้าได้สร้างสิ่งต่างๆขึ้นแล้วก็ทรงสร้งกฎที่จะควบคุมการทำงานของสิ่งเหล่านั้นให้ดำเนินไปอย่างมีระเบียบจนกว่าพระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่น
มุสลิมต้องศรัทธาในความเป็นจริงของกฎกำหนดสภาวการณ์ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้แก่โลกและสรรพสิ่งทั้งปวง กฎดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ
1.6.1 กฎที่ตายตัวหรือกฎธรรมชาติ
คือ สภาวะที่ไม่อยู่ในวิสัยของมนุษย์ที่จะเลือกได้ เช่น การถือกำหนดชาติพันธุ์ การโคจรของดวงดาว การแปรปรวนของลมฟ้าอากาศ
1.6.2 กฎที่ไม่ตายตัว
คือ สภาวะที่อยู่ในวิสัยของมนุษย์ที่จะเลือกได้ กล่าวคือ เมื่อพระเจ้าชี้ทางดีทางชั่วแก่มนุษย์แล้ว บางคนอาจเชื่อฟัง บางคนอาจฝ่าฝืน แต่ทุกคนจะต้องรับผลสนองตามที่ตนประพฤติปฏิบัตินั้นๆ ตามเกณฑ์ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ เช่น ทรงใช้ให้มนุษย์บริจาคทานแต่บางคนก็ไม่ยอมบริจาค หรือทรงห้ามมิให้นินทาใส่ร้าย ด่าว่ากันแต่คนส่วนมากก็ไม่เชื่อฟัง เป็นต้น
หลักปฏิบัติ 5
ผู้เป็นมุสลิมมีหลักปฏิบัติ 5 ประการ
1. การปฏิญาณตน
หัวใจของการเป็นมุสลิมคือการกล่าวปฏิญาณว่า” ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมุฮำมัดคือศาสนทูตแห่งพระองค์ “(Lewis M.Hopfe 1983 : 446)
การกล่าวคำปฏิญาณนี้มีสอดแทรกอยู่เป็นส่วนหนึ่งของคำกล่าวในการละหมาด โดยทั่วๆไป การปฏิญาณต้องออกจากใจจริง และการปฏิญาณเช่นนี้จะนำไปสู่การยอมรับปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์ทรงใช้ และละเว้นในสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม การยอมรับในพระเจ้าองค์เดียวนี้ มุสลิมจึงไม่มีสัญลักษณ์ใดๆที่จะต้องสักการะบูชา ไม่มีการกราบไหว้สิ่งใดๆในโลกนี้
2. การละหมาด
การละหมาดหรือการนมัสการพระเจ้า คือการแสดงความเคารพต่อพระเจ้า เป็นการปฏิบัติเพื่อแสดงความภักดีต่อพระเจ้า การสำรวมจิตระลึกถึงพระเจ้า การละหมาดเป็นการขัดเกลาจิตให้สะอาดบริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างพลังให้เข้มแข็ง การสำรวมจิตหรือการทำสมาธิเพื่อมิให้จิตวอกแวกไปในเรื่องต่างๆเป็นภาวะที่จิตได้เข้าไปสัมผัสกับความเป็นเอกภาพกับพระเจ้า ทำให้จิตใจสงบ ตั้งมั่น อดทน ผู้ที่มีความทุกข์และประสบปัญหาชีวิตในด้านต่างๆ การละหมาดจะเป็นเครื่องช่วยที่ดีที่สุด ทั้งยังฝึกตนเองให้ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบในหน้าที่ ให้อยู่ในระเบียบวินัย รักษาความสะอาด และยังเป็นการบริหารร่างกายอย่างดียิ่ง หากเป็นการละหมาดรวม ยังเป็นการแสดงออกถึงความสามัคคีพร้อมเพรียง ความเสมอภาค และภราดรภาพอีกด้วย ผู้เป็นมุสลิมจะต้องละหมาดวันละ 5 เวลาคือ
เวลาย่ำรุ่ง เรียกว่า ละหมาด ซุบหฺ ปฏิบัติ 2 รอกาอัต
เวลากลางวัน เรียกว่า ละหมาด ดุฮฺริอฺ ปฏิบัติ 4 รอกาอัต
เวลาเย็น เรียกว่า ละหมาด อะซัร ปฏิบัติ 4 รอกาอัต
เวลาพลบค่ำ เรียกว่า ละหมาด มักริบ ปฏิบัติ 3 รอกาอัต
เวลากลางคืน เรียกว่า ละหมาด อิชา ปฏิบัติ 4 รอกาอัต
เมื่อได้เวลาละหมาด มุสลิมจะละหมาดที่ใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นที่มัสยิดหรือสุเหร่า อาจเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน บนยานพาหนะ ฯลฯ แต่ขอให้เป็นที่สะอาด ในเวลาละหมาดมุสลิมทั่วโลกจะต้องหันหน้าไปสู่ทิศทางเดียวกันคือ ที่ตั้งของกะบะฮฺซึ่งเรียกว่ากิบลัต สำหรับประเทศไทยกิบลัตของมุสลิมคือทิศตะวันตก การผินหน้าไปสู่กิบลัต มิได้หมายความว่ากะบะฮฺคือสัญลักษณ์ในการเคารพบูชา เพราะในขณะละหมาด สิ่งที่มุสลิมระลึกถึงคือพระเจ้า แต่ที่หันไปสู่กิบลัตก็เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเท่านั้น
บุคคลที่ต้องละหมาดได้แก่บุคคลที่บรรลุนิติภาวะทางร่างกายแล้ว คือหญิงตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือน ชายตั้งแต่เริ่มเป็นหนุ่ม คืออายุครบ 15 หรือเมื่อฝันว่าได้ร่วมประเวณี มุสลิมทุกคนต้องละหมาดทุกวัน นับตั้งแต่บรรลุนิติภาวะทางร่างกายจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต จะมียกเว้นเพียงบางกรณีเท่านั้น เช่น หญิงมีประจำเดือน หรือมีเลือดออกหลังคลอด
ก่อนละหมาด ทั้งชายและหญิงต้องทำร่างกายให้สะอาดเสียก่อน การทำความสะอาดก่อนละหมาดเรียกว่าการอาบน้ำละหมาด วิธีอาบน้ำละหมาดทำดังนี้
* ล้างมือทั้งสองข้างจนถึงข้อมือ
* เอาน้ำบ้วนปากพร้อมกับล้างรูจมูก 3 ครั้ง
* ล้างหน้า 3 ครั้งให้ทั่วบริเวณหน้า
* ล้างแขนทั้งสองข้าง 3 ครั้งตั้งแต่ปลายนิ้วมือถึงข้อศอกโดยล้างข้างขวาก่อน
ข้างซ้าย
* เอามือขวาชุบน้ำลูบศรีษะ 3 ครั้งตั้งแต่ด้านหน้าถึงด้านหลัง
* เอามือทั้งสองชุบน้ำเช็ดใบหูทั้งสองข้าง 3 ครั้ง ให้เปียกทั่วทั้งภายนอกภายใน
โดยเช็ดพร้อมกันทั้งสองข้าง
* ล้างเท้าทั้งสองข้าง 3 ครั้งให้ทั่วจากปลายเท้าถึงเลยตาตุ่ม โดยล้างขวาก่อนเท้าซ้าย
เมื่ออาบน้ำละหมาดเสร็จแล้ว ให้ยืนหันหน้าไปทางกิบลัต แล้วยกมืออ่านดุอา(ขอพร)ดังนี้ “ ฉันขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ได้รับการเคารพภักดีอันแท้จริง เว้นแต่อัลลออฺองค์เดียวเท่านั้น และฉันขอปฏิญาณว่าแท้จริงท่านนบีมุฮำหมัดเป็นบ่าวของอัลลออฺ และเป็นรอซู้ลของพระองค์ โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้โปรดให้ฉันเป็นผู้ที่สะอาดผู้หนึ่งเถิด โอ้อัลลอฮฺ การสดุดีและการสรรเสริญพึงถวายแด่พระองค์ ฉันขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเว้นแต่พระองค์ ฉันขออภัยโทษและขอกลับตัวต่อพระองค์ และขออัลลอฮฺได้โปรดประทานความสันติสุขแด่ท่านนบีมุฮำหมัดและวงศ์ญาติของท่านและสาวกของท่าน”
3. การถือศีลอด
หมายถึง การละเว้นจากการกิน การดื่ม และเพศสัมพันธ์ตลอดถึงการรักษาอวัยวะทุกส่วนให้พ้นจากการทำความชั่ว ทั้งในด้านกาย วาจา และใจ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก ในเดือนรอมฎอน(เดือนที่ 9 ของฮิจเราะห์ศักราช)เป็นเวลา 1 เดือน
จุดมุ่งหมายของการถือศีลอด เพื่อฝึกฝนทางด้านร่างกายและด้านจิตใจ ให้มีความหนักแน่นอดทน ให้ทุกคนได้รู้จักรสชาติของความหิวโหย จะได้เห็นอกเห็นใจคนจน และช่วยเหลือเกื้อกูลกันต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลักซะกาต มุสลิมที่บรรลุนิติภาวะทางร่างกายดังที่กล่าวไว้ในเรื่องละหมาดแล้ว ทุกคนจะต้องถือศีลอด ยกเว้นสำหรับบุคคลบางประเภทต่อไปนี้
* คนชรา
* คนป่วยหรือสุขภาพไม่ดี
* หญิงมีครรภ์ที่เกรงว่าจะเป็นอัตรายแก่บุตร
* บุคคลที่ทำงานหนัก เช่น กรรมกรแบกหาม
* บุคคลที่อยู่ในระหว่างการเดินทาง
* หญิงขณะมีรอบเดือนและหลังคลอด
4. การบริจาคซะกาต
หมายถึง การจ่ายทานบังคับจากผู้มีทรัพย์สินครบรอบหนึ่งปีแก่คนที่มีสสิทธิ์รับบริจาคตามอัตรากำหนดซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของทรัพย์สิน ถ้าเป็นเงินสดหรือสินค้าจะต้องจ่านจากจำนวนที่เหลือเก็บร้อยละ 205ของมูลค่าทรัพย์สินนั้น
ความมุ่งหมายของการบริจาคซะกาต เพื่อให้ทรัพย์สินที่หามาได้และที่มีอยู่เป็นทรัพย์สินที่บริสุทธิ์ตามหลักการของอิสลาม และเป็นการขัดเกลาจิตใจผู้บริจาคให้สะอาดบริสุทธิ์ ลดความตระหนี่เหนียวแน่นความเห็นแก่ตัว ให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นการเตือนการสอนให้มนุษย์ไม่ตกเป็นทาสของวัตถุ ไม่เกิดความละโมบ และให้มนุษย์มีความตระหนักว่า บรรดาทรัพย์สินต่างๆที่เขาได้มานั้นเป็นของฝากจากอัลลอฮฺ มนุษย์เป็นเพียงผู้รักษาและใช้จ่ายในทางที่พระองค์ทรงกำหนด เช่น ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย และจะต้องจ่ายส่วนหนึ่งแก่ผู้ที่ยากจน เพื่อลดช่องว่างระหว่างชนชั้นในสังคมซึ่งเป็นการเสริมสร้างหลัดประกันของสังคมให้มั่นคงขึ้น สิ่งที่จะต้องจ่ายออกเป็นซะกาตได้แก่ ทองคำ เงินแท่ง และเงิน ปศุสัตว์ พืชผล รายได้จากธุรกิจการค้า ขุมทรัพย์
นอกจากนี้ที่ที่จะบริจาคออกไปจะต้องเป็นสิ่งที่ดี การเลือกสิ่งที่ไม่ใช้ สิ่งที่ไม่ดีบริจาคออกไป ไม่เรียกว่าการบริจาคซะกาต การบริจาคต้องทำด้วยใจบริสุทธิ์ มิใช่ทำเวยความเสียดายหรือทำเพื่อโอ้อวด ผู้ที่มีสิทธิ์รับซะกาตมี 8 ประเภทคือ
1. คนยากจนขัดสน คือผู้ที่หาได้ไม่ค่อยพอใช้ เช่น กรรมกรที่หาเช้ากินค่ำ หรือแม่หม้ายที่สามีตาย ต้องเลี้ยงลูกกำพร้าตามลำพังโดยไม่มีสมบัติ
2. คนอนาถา คือผู้ที่อยู่อย่างแร้นแค้น
3. ผู้ที่มีจิตโน้มเอียงเข้ารับอิสลาม
4. ใช้ในการไถ่ทาส
5. ผู้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวซึ่งไม่ได้เกิดจากอบายมุขหรือความฟุ่มเฟือย
6. ใช้ในวิถีทางของพระเจ้า เช่น สนับสนุนการศึกษา กสนสงเคราะห์ผู้ประสบภัยพิบัติ และในกิจการสาธารณะประโยชน์ เป็นต้น
7. คนเดินทางที่ขาดปัจจัยในการเดินทาง
8. เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ทำหน้าที่จัดเก็บรวบรวมซะกาต
5. การประกอบพิธีฮัจญ์
คือ การเดินทางไปประกอบศาสนกิจ ณ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย คำว่า ฮัจญ์ หมายถึง ”การเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายเฉพาะอันหนึ่งในแง่กฎหมายของอิสลาม คำนี้หมายความว่าออกเดินทางไปกะบะห์หรือบัยดุลลอฮ์และประกอบพิธีฮัจญ์”
พิธีฮัจญ์เป็นศาสนกิจข้อที่ 5 ของมุสลิมเป็นข้อเดียวในหลักปฏิบัติ 5 ประการที่ให้ปฏิบัติเฉพาะบุคคลที่มีความสามารถเท่านั้น บุคคลที่มีความสามารถในการไปประกอบพิธีฮัจญ์ หมายถึง มุสลิมที่มีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ และเส้นทางที่จะเดินทางไปจะต้องปลอดภัย นอกจากนี้จะต้องเป็นผู้ที่ประกอบศาสนกิจข้ออื่นๆ เช่น การละหมาด การถือศีลอด การบริจาคซะกาตสมบูรณ์เสียก่อน การไปประกอบพิธีฮัจญ์ไม่ใช่ไปเพื่อการโอ้อวดหรือเพื่อแสดงความมั่งคงของตน แต่เป็นการไปเพื่อทดสอบความศรัทธาและความเข้มแข็งอดทน
ในปีหนึ่งๆมุสลิมจากทั่วโลกจะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์พร้อมกันที่เมืองมักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นสถานที่แห่งเดียวในโลกที่ใช้ประกอบพิธี พิธีจะทำในเดือนซุ้ล(เดือนที่ 12 ของฮิจเราะห์ศักราช)โดยใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์
ที่มา : ศาสนาเปรียบเทียบ รองศาสตราจารย์ ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม
ขอขอบคุณ อ.จริยา พรจำเริญ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จ.นครปฐม ที่ได้ให้ข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์แก่นักเรียนกลุ่มโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยทั้ง 12 แห่ง ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้
ไม่มีความเห็น