ศาสนาอิสลาม
“อิสลาม แปลตามรูปศัพท์ว่า การยอมมอบตนตามประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าโดยสิ้นเชิง ผู้นับถือศาสนาอิสลามเรียกว่า “มุสลิม” แปลว่า ผู้ยอมมอบตนตามประสงค์ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง
ศาสดาของศาสนาอิสลามคือ ท่านนบีมุฮำมัด
นบี หมายถึง ผู้แทนของพระอัลเลาะห์ มุฮำมัด หมายถึง ผู้ได้รับการสรรเสริญ
ท่านนบีมุฮำมัด เป็นชาวอาหรับเผ่าคูเรช เกิดเมื่อพ.ศ.1113 ท่านนบีมุฮำมัด แต่งงานกับนางคอดียะ นางคอดียะเป็นกำลังสำคัญในการประกาศศาสนาของท่านนบีมุฮำมัด ท่านได้พูดถึงภรรยาของท่านเสมอว่า”เธอเชื่อฉันในขณะทีไม่มีใครเชื่อ เธอเป็นมิตรและเป็นเพื่อนคู่ใจในขณะที่คนทั้งโลกเป็นศัตรูต่อฉัน”
คัมภีร์สำคัญของศาสนาอิสลามคือคัมภีร์อัล-กุรอาน(Al-Quran) เป็นคัมภีร์บันทึกคำสอนซึ่งชาวมุสลิมเชื่อว่าเป็นโองการจากอัลเลาะห์โดยผ่านทางท่านนบีมุฮำมัด คัมภีร์อัล-กุรอาน(Al-Quran)ว่าด้วยหลัก 3 ประการอันเป็นรากฐานของศาสนาอิสลามคือ
1. หลักศรัทธาหรือความเชื่อในศาสนา เรียกว่า อีมาน (Iman)
2. หลักปฏิบัติหรือหน้าที่ในศาสนา เรียกว่า อิบาดะห์ (Ibadat)
3. หลักคุณธรรมหรือหลักความดี เรียกว่า อิห์ซาน (Ishan)
ผู้นับถือศาสนาอิสลามทุกคนจะต้องมีความรู้ในหลัก 3 ประการอย่างแท้จริง หลัก 3 ประการดังกล่าวมีสาระสำคัญดังนี้
1. หลักศรัทธา 6 หรือความเชื่อในศาสนา เรียกว่า อีมาน(Iman)
1.) ศรัทธาต่ออัลเลาะห์
มุสลิมจะต้องเชื่อมั่นว่าพระเจ้ามีจริง พระอัลเลาะห์เป็นพระเจ้าองค์เดียวและเป็นผู้ทรงคุณลักษณะ ดังนี้
* ทรงเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภาพ
* ทรงเป็นผู้อยู่ตลอดเวลา
* ทรงดำรงอยู่ ไม่มีใครสร้างพระองค์
* ทรงสรรพเดช สัพพัญญู
* ทรงความยุติธรรม ทรงพระเมตตา
* ทรงเป็นผู้พิพากษาในการตัดสินชีวิตมนุษย์ในวันสุดท้ายที่เรียกว่า
วันพิพากษา
2.) ศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะห์หรือเทวทูต
บรรดามลาอิกะห์มีจำนวนมากมายสุดจะประมาณไม่ได้ทำหน้าที่สนองพระบัญชาอัลเลาะห์แตกต่างกัน คุณสมบัติของบรรดามลาอิกะห์ ดังนี้
* เป็นสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงสร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่ต่างๆตามที่พระองค์กำหนด
* ไม่ต้องการหลับนอน
* จำแลงเป็นรูปต่างๆได้
* ไม่มีบิดามารดา บุตร ภรรยา
* ปฏิบัติแต่คุณธรรมล้วนๆ
* ไม่ละเมิดฝ่าฝืนบัญชาของพระอัลเลาะห์เลย
* ไม่กิน ดื่ม ขับถ่าย ไม่มีกิเลสตัณหา
3.) ศรัทธาต่อบรรดาพระคัมภีร์
คัมภีร์จำนวน 104 เล่มที่อัลเลาะห์ได้ประทานแก่เหล่าศาสนทูตของพระองค์ เพื่อนำมาประกาศเผยแพร่แก่ปวงประชาชาติให้หันห่างจากความมืดมนไปสู่ทางอันสว่างไสวและเที่ยงตรง
4.) ศรัทธาต่อบรรดารอซู้ลหรือศาสนทูต
มุสลิมจะต้องศรัทธาว่าพระเจ้าทรงเลือกบุคคลในหมู่มนุษยชาติให้เป็นผู้สื่อสาร นำบทบัญญัติ ของพระองค์มาสั่งสอนแก่มวลมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ศาสนทูตเป็นผู้ที่มีศักดิ์ศรีเหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลาย
5.) ศรัทธาต่อวันสิ้นโลก
มุสลิมต้องศรัทธาว่าในโลกนี้เป็นโลกที่ไม่จีรังยั่งยืน จะต้องมีวันแตกสลาย เมื่อถึงวันนั้น มนุษย์ทั้งหมดจะต้องไปรวม ณ ที่ของอัลเลาะห์เพื่อการสอบสวนและการตอบแทน
6.) ศรัทธาต่อกฎกำหนดสภาวการณ์
กฎกำหนดสภาวการณ์เป็นกฎที่ควบคุมเอกภพหรือธรรมชาติทั้งหมด ทั้งนี้เพราะเมื่อพระเจ้าได้สร้างสิ่งต่างๆขึ้นแล้ว ก็ทรงสร้างกฎที่จะควบคุมการทำงานของสิ่งเหล่านั้นให้ดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบจนกว่าพระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่น
2. หลักปฏิบัติ 5 หรือหน้าที่ในศาสนา เรียกว่า อิบาดะห์ (Ibadat)
มุสลิมมีหลักปฏิบัติ 5 ประการ คือ
1. การปฏิญาณตน หัวใจของการเป็นมุสลิมคือการกล่าวคำปฏิญาณว่า”ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลเลาะห์ และมุฮัมมัดคือศาสนทูตแห่งพระองค์”
2. การละหมาด
1.ละหมาดซุบฮิ ตั้งแต่แสงอรุณขึ้นจนกระทั่งถึงดวงอาทิตย์ขึ้น
|
คือการนมัสการพระเจ้า การแสดงความเคารพต่อพระเจ้า เป็นการปฏิบัติเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้า การสำรวมจิตระลึกถึงพระเจ้า การละหมาดเป็นการขัดเกลาจิตให้สะอาดอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างพลังให้เข้มแข็ง จะกระทำละหมาดวันละ 5 เวลาคือเวลาย่ำรุ่ง เวลากลางวัน เวลาเย็น เวลาพลบค่ำ เวลากลางคืน เมื่อได้เวลาทำละหมาด มุสลิมจะละหมาดที่ใดก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นสุเหร่าหรือมัสยิด แต่ต้องเป็นที่สะอาด ในเวลาทำละหมาดมุสลิมทั่วโลกจะหันหน้าไปยังทิศเดียวกันคือที่ตั้งของกะบะฮ์ซึ่งเรียกว่ากิบลัดบุคคลที่ละหมาดได้ต้องเป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะทางร่างกายแล้ว คือหญิงตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือน ชายเริ่มตั้งแต่เป็นหนุ่ม มุสลิมจะต้องหมาดทุกวันจนกว่าจะตาย แต่มีข้อยกเว้นสำหรับหญิงขณะมีประจำเดือน และมีเลือดออกหลังคลอด
การละหมาดหญิงชายต้องทำให้ร่างกายสะอาดเสียก่อน การทำความสะอาดเรียกว่าการอาบน้ำละหมาด วิธีอาบน้ำละหมาดทำดังนี้
* ล้างมือทั้งสองข้างจนถึงข้อมือ
* เอาน้ำบ้วนปากพร้อมกับล้างรูจมูก 3 ครั้ง
* ล้างหน้า 3 ครั้งให้ทั่วบริเวณหน้า
* ล้างแขนทั้งสองข้าง 3 ครั้ง ตั้งแต่ปลายนิ้วถึงข้อศอกโดยล้าง
ข้างขวาก่อนข้างซ้าย
* เอามือขวาชุบน้ำลูบศรีษะ 3 ครั้ง ตั้งแต่ด้านหน้าถึงด้านหลัง
* เอามือทั้งสองชุบน้ำเช็ดใบหูทั้งสองข้าง 3 ครั้งให้เปียกทั่วทั้ง
ภายนอกภายใน โดยเช็ดพร้อมกันทั้งสองข้าง
* ล้างเท้าทั้งสองข้าง 3 ครั้งให้ทั่วจากปลายเท้าถึงเลยตาตุ่ม
โดยล้างเท้าขวาก่อนเท้าซ้าย
3.การถือศีลอด หมายถึงการละเว้นจากการกิน การดื่ม และเพศสัมพันธ์ ตลอดถึงการรักษาอวัยวะทุกส่วนให้พ้นจากการทำความชั่ว ทั้งด้านกาย วาจา และใจตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก ในเดือนรอมฎอน เป็นเวลา 1 เดือน มุสลิมที่บรรลุนิติภาวะทางร่างกายที่กล่าวไว้ในเรื่องการละหมาดแล้ว ทุกคนต้องถือศีลอด ยกเว้นสำหรับบุคคลบางประเภทต่อไปนี้
* คนชรา
* คนป่วยหรือคนสุขภาพไม่ดี
* หญิงมีครรภ์ที่เกรงว่าจะเป็นอันตรายแก่บุตร
* บุคคลที่ทำงานหนัก เช่น กรรมกรแบกหาม
* บุคคลที่อยู่ระหว่างการเดินทาง
* หญิงขณะมีรอบเดือนและหลังคลอด
4. การบริจาคซะกาด
หมายถึงการจ่ายทานบังคับจากผู้มีทรัพย์สินครบรอบหนึ่งปี แก่คนที่มีสิทธิ์รับบริจาคตามอัตรากำหนดซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของทรัพย์สิน เป็นการขัดเกลาจิตใจผู้บริจาคให้สะอาดบริสุทธิ์ ลดความตระหนี่เหนียวแน่นความเห็นแก่ตัว ให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นการเตือนการสอนให้มนุษย์ไม่ตกเป็นทาสของวัตถุ ไม่เกิดความละโมบ เพื่อลดช่องว่างระหว่างชนชั้นในสังคมเป็นการเสริมสร้างหลักประกันของสังคมให้มั่นคงขึ้น สิ่งที่ต้องจ่ายออกเป็นซะกาตได้แก่ทองคำ เงินแท่ง และเงิน ปศุสัตว์ พืชผล รายได้จากธุรกิจการค้า ขุมทรัพย์
นอกจากนี้สิ่งที่จะบริจาคออกไปจะต้องเป็นสิ่งที่ดี การเลือกสิ่งที่ไม่ใช้ สิ่งที่ไม่ดีบริจาคออกไป ไม่เรียกว่าบริจาคซะกาต การบริจาคต้องทำด้วยใจบริสุทธิ์ มิใช่ทำด้วยความเสียดายหรือทำเพื่อโอ้อวด ผู้ที่มีสิทธิ์รับซะกาตมี 8 ประเภทดังนี้
1.) คนยากจนขัดสน คือ ผู้ที่หาได้ไม่ค่อยพอใช้ เช่น กรรมกรที่หาเช้ากินค่ำ หรือแม่หม้ายที่สามีตาย ต้องเลี้ยงลูกกำพร้าลำพังโดยไม่มีสมบัติ
2.) คนอนาถา คือผู้ที่อยู่อย่างแร้นแค้น
3.) ผู้ที่มีจิตโน้มเอียงเข้ารับอิสลาม
4.) ใช้ในการไถ่ทาส
5.) ผู้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวซึ่งไม่ได้เกิดจากอบายมุขหรือความฟุ่มเฟือย
6.) ใช้ในวิถีทางของพระเจ้า เช่น สนับสนุนการศึกษาการสงเคราะห์ผู้
ประสบภัยและในกิจการสาธารณะประโยชน์ เป็นต้น
7.) คนเดินทางที่ขาดปัจจัยในการเดินทาง
8.) เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ทำหน้าที่จัดเก็บรวบรวมซะกาต
5.การประกอบพิธีฮัจญ์
คือการเดินทางไปประกอบศาสนกิจ ณ เมืองเมกกะประเทศซาอุดิอาระเบีย คำว่า “ฮัจญ์” หมายถึง การเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายเฉพาะอันหนึ่งในแง่กฎหมายอิสลาม คำนี้หมายความว่าออกเดินทางไปกะบะห์หรือบัยดุลเลาฮ์และประกอบพิธีฮัจญ์
พิธีฮัจญ์เป็นศาสนกิจข้อที่ 5 ของมุสลิม เป็นข้อเดียวในหลักปฏิบัติ 5 ประการที่ให้ปฏิบัติเฉพาะบุคคลที่มีคสามสามารถเท่านั้น บุคคลที่มีความสามารถในการไปประกอบพิธีฮัจญ์หมายถึง มุสลิมที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ และเส้นทางที่จะเดินไปจะต้องปลอดภัย นอกจากนี้จะต้องเป็นผู้ที่ประกอบศาสนกิจข้ออื่นๆเช่น การละหมาด การถือศีลอด การบริจาคซะกาตเสียก่อน การประกอบพธีฮัจญ์ไม่ใช่ไปเพื่อโอ้อวดหรือเพื่อแสดงความมั่งคั่งของตน แต่เป็นการไปเพื่อทดสอบความศรัทธาและความเข้มแข็งอดทน ในปีหนึ่งๆมุสลิมจากทั่วโลกจะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์พร้อมกันที่เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอารเบีย ซึ่งเป็นสถานที่เดียวในโลกที่ใช้ประกอบพิธี พิธีจะทำในเดือนซุ้ล(เดือนที่ 12 ของฮิจเราะห์ศักราช)โดยใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์
ความมุ่งหมายของการประกอบพิธีฮัจญ์
1.)เพื่อให้มุสลิมจากทั่วโลกได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์กันอันจะก่อให้เกิดสัมพันธภาพและภราดรภาพ
2.)เพื่อให้เกิดความเสมอภาคเพราะผู้ที่มาบำเพ็ญฮัจญ์ในปีหนึ่งๆจะมีเชื้อชาติผิวพรรณ ฐานะที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนต่างอยู่ในชุดเอี๊ยะห์รามเหมือนกันหมดและทำพิธีอย่างเดียวกัน ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์ใดๆ
3.)เพื่อเป็นการทดสอบมนุษย์ในด้านการเสียสละสิ่งต่างๆในหนทางของพระเจ้าตั้งแต่ทรัพย์สินเงินทองในการใช้จ่าย การต้องละทิ้งบ้านเรือน ครอบครัว และญาติพี่น้อง
4.)เพื่อฝึกฝนและทดสอบความอดทนทั้งร่างกายและจิตใจ
5.)ฝึกการสำรวมตน ละทิ้งอภิสิทธิ์ต่างๆเพราะทุกคนต้องปฏิบัติตามวินัยบัญญัติของพิธีฮัจญ์ เหมือนกันทั้งหมด เช่น งดเว้นการล่าสัตว์ การตัดต้นไม้ การร่วมประเวณี เป็นต้น
6.)เพื่อให้มุสลิมได้รำลึกถึงประวัติศาสตร์ของอิสลามและเพื่อเป็นการเพิ่มศรัทธาให้มั่นคงยิ่งขึ้น
7.)เป็นการแสดงถึงเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้าในการที่มุสลิมจากทั่วโลกจำนวนนับแสนเดินทางไป
รวมกัน ณ ที่แห่งเดียวกัน ในชุดแบบเดียวกัน กระทำพิธีอย่างพร้อมเพรียงกันในทุกๆปี
3. หลักคุณธรรมหรือหลักความดี เรียกว่าอิห์ซาน (Ishan)
หลักคุณธรรมหรือหลักความดี คือการกำหนดว่าสิ่งใดที่ควรปฏิบัติและสิ่งใดที่ละเว้น ข้อกำหนดเหล่านี้ปรากฎอยู่แล้วในคัมภีร์อัล-กุรอาน ซึ่งแบ่งออกเป็นสองตอนคือการกระทำที่อนุญาต เรียกว่า ฮะลาล (HALAL) และการกระทำที่ต้องห้าม เรียกว่า ฮะรอม (HARAM)
3.1 การกระทำที่อนุญาต หมายถึง การอนุญาตให้ทำความดี ซึ่งความดีในศาสนาอิสลาม หมายถึงสิ่งใดก็ตามที่ระบุไว้ในคัมภีร์อัล-กุรอานว่าดี สิ่งนั้นต้องดี ไม่ว่าคนทั้งหลายจะเห็นชอบด้วยหรือไม่ก็ตาม ตัวอย่างของการกระทำที่จัดเป็นการกระทำที่ดีในศาสนาอิสลาม เช่น
* บอกทางให้แก่ผู้หลงทาง
* หยิบสิ่งอันตรายออกจากทางเดิน
* ไม่เข้าใกล้และดื่มของมึนเมา
* ไม่เข้าใกล้สิ่งลามกอนาจาร
* ต่อสู้ถ้ามีการกดขี่
* พูดความจริงต่อหน้าผู้ปกครอง
* จ่ายค่าแรงก่อนเหงื่อจะแห้ง
*ไม่เป็นคนหลงชาติหลงตระกูล
*ไม่เป็นคนทำบุญเอาหน้าหวังชื่อเสียงต้องการให้ชื่อ
ของตนไปติดอยู่ที่อาคารใดอาคารหนึ่ง
* การไม่กินดอกเบี้ยไม่ติดสินบน
* การแต่งงานที่ใช้เงินน้อยและมีความวุ่นวายน้อยที่สุด
* การยกฐานะคนใช้ให้มีการกินอยู่เหมือนกับตน
3.2 การกระทำที่ต้องห้าม หมายถึง การห้ามกระทำความชั่ว ซึ่งความชั่วในศาสนาอิสลามหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่ระบุไว้ในคัมภีร์อัล-กุรอาน ว่าชั่ว สิ่งนั้นต้องชั่ว ไม่ว่าคนทั้งหลายจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ตัวอย่างของการกระทำชั่วในศาสนาอิสลาม
* การตั้งภาคีหรือยึดถือ นำสิ่งอื่นมาเทียบเคียงอัลเลาะห์
เช่น เงินตรา เกียรติยศวงศ์ ตระกูล ชื่อเสียงประเพณี
แม้แต่อารมณ์ก็จะนำมาเป็นใหญ่ในตัวเองไม่ได้
* การกราบไหว้บูชารูปปั้น วัตถุ ต้นไม้ ก้อนอิฐ
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว แม่น้ำ ภูเขา ห้าม
กราบไหว้ผีสางเทวดา นางไม้ ห้ามเซ่นไหว้สิ่งใดๆ
ทั้งสิ้น
* การเชื่อในเรื่องดวง ผูกดวง ดูหมอ ตรวจดูชะตาราศี
ดูลายมือ ถือโชคลาง เล่นเครื่องลางของขลัง
* การเล่นการพนันทุกชนิด เสี่ยงทาย เสี่ยงโชค
เล่นม้า ล็อตเตอรี หวยเบอร์
* การกินสัตว์ที่ตายเอง สัตว์ที่มีโรค กินหมู กินสัตว์ที่
นำไปเซ่นไหว้ สัตว์ที่ถูกรัดคอให้ ตายโดยที่ไม่ได้เชือด
ให้เลือดไหล สัตว์ที่เชือดโดยไม่ได้กล่าวนามอัลเลาะห์
* การกินดอกเบี้ย
* การดื่มสุราและเสพสิ่งมึนเมาทุกชนิด
* การผิดประเวณี แม้จะเป็นความสมัครใจของทั้งสอง
ฝ่ายก็ตาม
* การประกอบอาชีพที่ไม่ชอบด้วยศีลธรรมหรืออาชีพที่
จะนำไปสู่ความหายนะ เช่น ตั้งซ่อง บาร์ อาบอบนวด
ปล่อยเงินกู้โดยวิธีเก็บดอกเบี้ย รับซื้อของโจร
* การบริโภคอาหารที่หามาได้โดยมิชอบ
* การกักตุนสินค้าเพื่อนำออกมาขายด้วยราคาสูงเมื่อ
เกิดภาวะขาดแคลนอดอยาก
* การกระทำใดๆที่เป็นการสร้างความเดือดร้อนแก่ตนเอง
เพื่อนบ้าน สังคมและประเทศชาติ
1. ศาสนาอิสลามเป็นธรรมนูญชีวิตของชาวมุสลิม
ลักษณะเด่นของศาสนาอิสลามที่แตกต่างไปจากศาสนาอื่นๆคือ เป็นธรรมนูญชีวิตของชาวมุสลิม เพราะหลักคำสอนของศาสนาอิสลามมีลักษณะสอดคล้องกลมกลืนกับบัญญัติของกฎหมาย การกระทำใดที่ผิดต่อหลักคำสอนของศาสนาย่อมเป็นการละเมิดต่อกฎหมายด้วย ด้วยเหตุนี้หลักคำสอนของศาสนาอิสลามจึงมีอิทธิพลต่อจิตใจของมุสลิมทุกคน เป็นเครื่องกำหนดพฤติกรรม วิถีชีวิตและความรู้สึกนึกคิดในทุกด้านของชาวมุสลิมตั้งแต่เกิดจนวันสุดท้ายของชีวิต
2. ศาสนาอิสลามเป็นทางดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์
เมื่อหลักคำสอนของศาสนาอิสลามมีลักษณะสอดคล้องกับบัญญัติของกฎหมาย จึงเป็นทางดำเนินชีวิตที่เป็นระเบียบเพียบพร้อมและสมบูรณ์ คำสอนของศาสนาอิสลามคลอบคลุมในทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวส่วนรวม เรื่องของวัตถุหรือจิตใจ เศรษฐกิจหรือการปกครอง กฎหมาย วัฒนธรรมตลอดจนเรื่องของประชาชาติ
3. ศาสนาอิสลามมีความสมดุลระหว่างสิทธิของปัจเจกบุคคลและสิทธิส่วนรวม
ศาสนาอิสลามสร้างความสมดุลในเรื่องสิทธิส่วนตัวของแต่ละบุคคลกับสิทธิส่วนรวมคือ การยอมรับในสถานะส่วนบุคคลของมนุษย์แต่ละคน และรับประกันสิทธิพื้นฐานของปัจเจกบุคคลโดยไม่ยอมรับการละเมิดใดๆต่อสิทธิพื้นฐานนี้ หลักการของอิสลามไม่เห็นด้วยกับหลักการที่ว่า มนุษย์ควรจะต้องสูญเสียสิทธิส่วนตัวของตนให้เป็นของรัฐบาลทั้งหมด
4. ศาสนาอิสลามไม่ได้แยกวัตถุกับจิตใจออกจากกัน
ลักษณะเด่นของศาสนาอิสลามอีกประการหนึ่งคือไม่แยกวัตถุกับจิตใจออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ศาสนาอิสลามไม่ได้อยู่เพื่อการปฏิเสธชีวิต แต่มีอยู่เพื่อทำให้ชีวิตครบสมบูรณ์ ศาสนาอิสลามไม่ได้สอนให้เชื่อในเรื่องบำเพ็ญตบะและละทิ้งเพิกเฉยต่อวัตถุ แต่สอนว่าคนเราจะมีจิตใจสูงส่งก็ด้วยการมีชีวิตอยู่อย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แม้ในขณะที่ชีวิตประสบกับมรสุม ไม่ใช่ด้วยการตัดขาดจากโลก
5. ศาสนาอิสลามไม่สอนให้มนุษย์ติดอยู่กับวัตถุ
ศาสนาอิสลามไม่มีลักษณะเป็นวัตถุนิยม(METERIALISM) ดังปรากฎในคัมภีร์ว่า”ผู้สะสมสมบัติ และหมั่นนับมันเนืองๆ เขาคิดว่าสมบัติของเขาจะทำให้เขาอยู่ได้ตลอดไป หาใช่เช่นนั้นไม่ เขาจะถูกโยนลงไปในไฟที่แตกเป็นพะเนียง”
6. ศาสนาอิสลามส่งเสริมการสมรส
ศาสนาอิสลามถือว่าการครองเรือนคือการทำให้ศาสนาสมบูรณ์ จึงส่งเสริมการสมรส เงื่อนไขการสมรสของศาสนาอิสลามต้องเป็นความยินยอมของทั้งสองฝ่าย ไม่มีการคลุมถุงชน ศาสนาอิสลามอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้ 4 คนแต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้
* ค่าครองชีพ เช่น ค่าอาหาร เครื่องแต่งกาย ที่อยู่อาศัย และค่าอื่นๆ
ต้องจ่ายให้อย่างยุติธรรมที่สุด
* ไม่สร้างความกระทบกระเทือนใจให้แก่ภรรยาคนใดคนหนึ่ง
* ไม่แสดงอาการใดๆที่ส่อให้เห็นว่ามีความรักต่อคนใดคนหนึ่งมากกว่า
คนอื่นๆ
* ยกฐานะภรรยาทุกคนให้เท่าเทียมกัน
* ต้องไม่มีคำว่าเมียหลวง เมียน้อย
* ต้องค้างคืนกับภรรยาเท่าๆกัน
* ต้องให้ความรักเท่าๆกัน
7. ศาสนาอิสลามไม่สนับสนุนการหย่าร้าง
การหย่าร้างเป็นบ่อเกิดปัญหาสังคม เพราะลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่หย่าร้างกันมักกลายเป็นเด็กมีปัญหาเนื่องจากเด็กมักขาดความอบอุ่นในครอบครัว หากสามีและภรรยาคู่ใดมีความจำเป็นต้องหย่าร้างกันก็สามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไข ดังนี้
* ห้ามหย่าระหว่างตั้งครรภ์
* ห้ามหย่าระหว่างมีอารมณ์โกรธหรือโมโห
* ในการหย่าอย่างน้อยต้องมีพยาน 2 คน
* ต้องทำการหย่าต่อหน้าเจ้าหน้าที่ทางศาสนา
* หญิงที่หย่าร้างหากจะสมรสใหม่จะต้องให้มีรอบเดือนผ่านไปถึง
สามครั้งเพื่อพิสูจน์ว่า ไม่ได้ตั้งครรภ์และยังเปิดโอกาสให้กลับมา
คืนดีกันได้
8. ศาสนาอิสลามห้ามการบริโภคเนื้อสุกร
มุสลิมบริโภคเนื้อแพะและเนื้อแกะ ถือว่าเนื้อสุกรสกปรกที่สุดในบรรดาเนื้อทั้งหลาย เพราะศาสนาอิสลามกำเนิดขึ้นในดินแดนอาหรับซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย จึงเป็นแหล่งที่ขาดแคลนน้ำ เมื่อน้ำเป็นสิ่งที่หายาก บรรดาสัตว์เลี้ยงเช่นสุกรและสุนัข(มุสลิมรังเกียจสุนัขด้วยเพราะถือว่าเป็นสัตว์สกปรก)
เป้าหมายของศาสนาอิสลามมี 2 ระดับ
ระดับที่ 1 เป้าหมายในโลกนี้
เป็นเป้าหมายเพื่อให้ตนเองมีความสุขทั้งกายและใจ หมดความทุกข์ความหวาดกลัวและเพื่อให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่สงบส
ไม่มีความเห็น